การจดคณะบุคคล และภาระภาษี

คณะบุคคล... อีกหน่วยภาษี ที่ไม่ควรมองข้าม

การเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากรได้กำหนดหน่วยภาษีที่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงิน ได้บุคคลธรรมดาไว้จำนวน 4 หน่วย อันได้แก่ บุคคลธรรมดาผู้ถึงแก่ความตายในระหว่างปีภาษี กองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง และคณะบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล ซึ่งในการดำเนินธุรกิจในรูปแบบของคณะบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่ นิติบุคคล จะช่วยให้กิจการมีเงินลงทุนมากขึ้น และในแง่ของการตัดสินใจจะรอบคอบมากกว่าการดำเนินธุรกิจในรูปแบบบุคคลธรรมดา คนเดียว เพราะมีการร่วมกันตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ที่เกิดจากการดำเนินงานของผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคน รวมทั้งจะต้องรับผิดชอบร่วมกันในหนี้สินทั้งหมดของกิจการโดยไม่จำกัดจำนวน หนี้สินนั้นอีกด้วย เรื่องจากปกฉบับนี้จึงได้นำเสนอภาระหน้าที่การเสียภาษีของคณะบุคคลและแนวคำ วินิจฉัยที่น่าสนใจ เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างรอบด้านในการเสียภาษีได้อย่างถูกต้อง

ภาระภาษี

1. ความหมายของ “คณะบุคคล” ในทางทฤษฎีภาษีอากร จะพบว่าประมวลรัษฎากรมิได้ให้คำนิยามของคำว่าคณะบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนสามัญ ที่มิใช่นิติบุคคลไว้โดยเฉพาะ ดังนั้น จึงต้องใช้ความหมายโดยเทียบเคียงจากคำว่าห้างหุ้นส่วนสามัญตามมาตรา 1012 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่วางหลักไว้ว่าห้าง หุ้นส่วน คือ บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการร่วมกัน ด้วยประสงค์จะแบ่งปันกำไรอันจะพึงได้แก่กิจการที่ทำนั้น เมื่อคณะบุคคลเป็นหน่วยภาษีที่กำหนดขึ้นตามประมวลรัษฎากรเพื่อให้ครอบคลุม การจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จึงอาจให้คำนิยามได้ว่า “ห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล” หมายถึง บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปได้ตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการร่วมกัน ด้วยประสงค์จะแบ่งปันกำไรอันจะพึงได้แก่กิจการที่ทำนั้น ส่วน “คณะบุคคล” หมายถึง บุคคลธรรมดาตั้งแต่สองคน ขึ้นไปตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการร่วมกัน แต่ไม่มีวัตถุประสงค์จะแบ่งปันผลกำไรที่ได้จากกิจการที่ทำนั้น
อย่างไรก็ ดี ในทางปฏิบัติมักจะพบว่า การให้ความหมายคำว่าห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล และคำว่าคณะบุคคล จะมีทิศทางที่เป็นไปในแนวทางเดียวกันโดยมิได้แยกความแตกต่างกันที่วัตถุ ประสงค์การแบ่งปันกำไรดังได้กล่าวข้างต้น ซึ่งการให้ความหมายที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันดังกล่าวก็มิได้ทำให้ผล ของการชำระภาษีเปลี่ยนแปลงไปแต่ประการใด เพราะไม่ว่าจะเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล หรือจะเป็นคณะบุคคลก็จะมีหน้าที่ เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเช่นเดียวกัน และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีเงินได้ที่ได้รับ ก็จะเป็นเลขเดียวกัน
ปัญหา บางประการเกี่ยวกับคณะบุคคลที่ควรได้ทำความเข้าใจคือ การรวมตัวกันเพื่อจัดตั้งคณะบุคคลมีข้อจำกัดหรือไม่ ผู้เขียนใคร่ขอนำเสนอดังนี้
ก. นิติบุคคลสามารถร่วมกับบุคคลธรรมดาจัดตั้งคณะบุคคลได้หรือไม่ ผู้เขียนเห็นว่า การจัดตั้งคณะบุคคลจะต้องเป็นการรวมตัวกันระหว่างบุคคลธรรมดาตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป นิติบุคคลไม่อาจมาจัดตั้งคณะบุคคลร่วมกับบุคคลธรรมดาได้ เนื่องจากหากมีนิติบุคคลมาร่วมจัดตั้งด้วยแล้ว ฐานะของการร่วมทุนจะเปลี่ยนไปเป็นกิจการร่วมค้าทันที
ข. สามีภริยาจะร่วมกันจัดตั้งเป็นคณะบุคคลได้หรือไม่ ในประเด็นนี้ผู้เขียนเห็นว่า ตามมาตรา 57 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดให้ถือว่าเงินได้ของภริยาให้เป็นเงินได้ของสามีในกรณีที่ความเป็นสามี ภริยามีอยู่ตลอดปีภาษีดังนั้น สามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายจึงไม่อาจจัดตั้งเป็นคณะบุคคลได้โดยปริยาย แต่อย่างไรก็ดี หากเป็นการจัดตั้งคณะบุคคลที่ประกอบด้วยสามี ภริยา และบุตร แล้วก็ไม่ถือว่ากรณีมีข้อจำกัดแต่ประการใด

2. การขอมีเลข ประจำตัวผู้เสียภาษีอากร คณะบุคคลจะต้องขอมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรภายใน 60 วัน นับแต่วันที่มีเงินได้พึงประเมินโดยใช้แบบ ล.ป.10.2 ยื่นต่อสำนักงานสรรพากรดังนี้
ก. ในกรุงเทพมหานครให้ยื่น ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่หรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา (เขต) ที่ผู้ยื่นคำร้องมีภูมิลำเนาอยู่
ข. ในจังหวัดอื่นให้ยื่น ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา (อำเภอ) ที่ผู้ยื่นคำร้องมี ภูมิลำเนาอยู่กรณีผู้เสียภาษีอากรที่เป็นบุคคลธรรมดา ไม่สะดวกที่จะยื่นคำร้อง ณ สถานที่ ดังกล่าวข้างต้น จะยื่น ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาแห่งใดแห่งหนึ่งในท้องที่ของจังหวัดที่มีภูมิ ลำเนาอยู่หรือ จะยื่น ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่หรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาแห่งใดแห่งหนึ่งใน กรุงเทพมหานครก็ได้
ทั้งนี้ คณะบุคคลจะต้องแนบเอกสารดัง ต่อไปนี้ไปพร้อมกับแบบคำร้องการขอมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรประเภทคณะ บุคคล (แนบพร้อมกับแบบ ล.ป.10.2)
ก. กรณีขอมีเลขและบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีอากร ได้แก่
(1) ภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชน/ใบสำคัญคนต่างด้าว/หนังสือเดินทางของผู้มีอำนาจจัดการและผู้ร่วมคณะทุกคน
(2) ภาพถ่ายสำเนาทะเบียนบ้านของที่ตั้งสถานประกอบการ
(3) ภาพถ่ายสัญญาหรือบันทึกข้อตกลงในการจัดตั้งคณะบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนสามัญ (ถ้ามี)
ข. กรณีขอแก้ไขรายละเอียดผู้เสียภาษีอากร ได้แก่
(1) ภาพถ่ายหลักฐานการเปลี่ยนชื่อ ที่อยู่ของคณะบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนสามัญ
(2) บัตรประจำตัวผู้เสียภาษีอากร ฉบับเดิม
ค. กรณีบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีอากรชำรุดหรือสูญหาย ได้แก่
(1) ภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชน/ ใบสำคัญคนต่างด้าว/หนังสือเดินทางของผู้มีอำนาจจัดการ
(2) บัตรประจำตัวผู้เสียภาษีอากรฉบับเดิม (ถ้ามี)
ง. กรณีขอคืนบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีอากร ได้แก่
(1) ภาพถ่ายหนังสือที่แสดงว่าคณะบุคคลเลิกประกอบกิจการ
(2) บัตรประจำตัวผู้เสียภาษีอากรที่คืน

3. การคำนวณภาษีเงินได้ คณะบุคคลมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเช่นเดียว กับบุคคลธรรมดาทั่วไป โดยถือเป็นหน่วยภาษีอีกหน่วยหนึ่งแยกต่างหากไปจากบุคคลที่อยู่ในคณะบุคคล นั้นๆ โดยมาตรา 56 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร ที่ได้บัญญัติไว้ดังนี้
“ใน กรณีที่ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลมีเงินได้พึงประเมิน ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วเกินจำนวนตาม (1) ให้ผู้อำนวยการหรือผู้จัดการยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินในชื่อของ ห้างหุ้นส่วน หรือคณะบุคคลนั้นที่ได้รับในระหว่างปีภาษีที่ล่วงมาแล้วภายในกำหนดเวลาและ ตามแบบเช่นเดียวกับวรรคก่อน การเสียภาษีในกรณีเช่นนี้ ให้ผู้อำนวยการหรือผู้จัดการรับผิดเสียภาษีในชื่อของห้างหุ้นส่วนหรือคณะ บุคคลนั้นจากยอดเงินได้พึงประเมินทั้งสิ้นเสมือนเป็นบุคคลคนเดียวไม่มีการ แบ่งแยก ทั้งนี้ ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือบุคคลในคณะบุคคลแต่ละคน ไม่จำต้องยื่นรายการเงินได้สำหรับจำนวนเงินได้พึงประเมินดังกล่าวเพื่อเสีย ภาษีอีก แต่ถ้าห้างหุ้นส่วนหรือคณะบุคคลนั้นมีภาษีค้างชำระให้ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือ บุคคลในคณะบุคคลทุกคนร่วมรับผิดในเงินภาษีที่ค้างชำระนั้นด้วย”
นอกจาก “คณะบุคคล” จะมีหน้าที่เสียภาษีเสมือนหนึ่งเป็นบุคคลที่แยกออกจากบุคคลธรรมดาทั่วไปแล้ว เมื่อประกอบธุรกิจมีผลกำไร ในแต่ละปี แล้วนำกำไรของคณะบุคคลมาแบ่งให้กับบุคคลที่อยู่ในคณะบุคคล ส่วนแบ่งกำไร ดังกล่าวก็ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามมาตรา 42 (14) เงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ บุคคลที่อยู่ในคณะบุคคลไม่ต้องนำเงินได้ที่ได้รับจากการแบ่งกำไรจากคณะบุคคล ไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ดังนี้
“(14) เงินส่วนแบ่งของกำไรจากห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือ คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลซึ่งต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้ แต่ไม่รวมถึงเงินส่วนแบ่งของกำไรจากกองทุนรวม”

4. การคำนวณหักค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อน คณะบุคคลมีสิทธิหักค่าใช้จ่ายสำหรับเงินได้ พึงประเมินประเภทต่างๆ ที่ได้รับเช่นเดียวกับบุคคลธรรมดา แต่สำหรับการหักค่าลดหย่อนคณะบุคคลสามารถหักค่าลดหย่อนตามจำนวนบุคคลที่เป็น บุคคลในคณะบุคคลแต่ละคนซึ่ง เป็นผู้อยู่ในประเทศไทยได้คนละ 30,000 บาท แต่รวมกันต้องไม่เกิน 60,000 บาท เท่านั้น คณะบุคคลจะหักลดหย่อนประเภทอื่นๆ เช่นการหัก ลดหย่อนคู่สมรส การหักลดหย่อนบุตร การหัก ลดหย่อนเงินค่าเบี้ยประกันชีวิต การหักลดหย่อนเงินที่จ่ายเป็นดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างที่อยู่อาศัย ดังเช่นที่บุคคลธรรมดามีสิทธิไม่ได้

5. การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เงินได้พึงประเมินภายหลังจากหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนแล้ว (หรือเงินได้สุทธิ) คณะบุคคลจะต้องนำไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราก้าวหน้า (Progressive Rate) ดังนี้
untitled20_413

บทสรุป
อาจกล่าวได้ว่าหน่วยภาษีที่เรียกว่า “คณะบุคคล” นั้น เป็นหน่วยภาษีที่มีเอกลักษณ์ของตัวเองซึ่งในเบื้องต้นอาจทำให้มองภาพว่าน่า จะมีความซับซ้อนและยุ่งยากโดยเฉพาะในการคำนวณภาษีเงินได้ ซึ่งมีวิธีการที่แตกต่างไปจากหน่วยภาษีที่เป็นบุคคลธรรมดาบ้างในบางประเด็น แต่หากได้ศึกษาทำความเข้าใจอย่างรอบด้านก็จะพบว่ามิได้มีข้อยุ่งยากต่อการ คำนวณภาษีแต่ประการใด จึงหวังว่าเนื้อหาที่ได้นำเสนอมาข้างต้นคงได้ก่อให้เกิดความเข้าใจในประเด็น ต่างๆ แก่ท่านผู้อ่านเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้องและสนับสนุนให้เกิดธุรกรรม ในรูปแบบของคณะบุคคลอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น อันจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมในท้ายที่สุด

ที่มา สรรพากรสาส์น

คำชี้แจ้งเรื่องการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปี 2551

http://www.rd.go.th/publish/38676.0.html
คำ​ชี้​แจงกรมสรรพากร

-------------------------------------
ตามที่​ได้​มีพระราชกฤษฎีกา​ ​ออกตาม​ความ​ใน​ประมวลรัษฎากร​ ​ว่า​ด้วย​การยกเว้นรัษฎากร​ ​(​ฉบับ​ที่​ 470) ​พ​.​ศ​. 2551 ​ยกเว้นภาษี​เงิน​ได้​บุคคลธรรมดา​ ​สำ​หรับเงิน​ได้​สุทธิ​จาก​การคำ​นวณภาษี​เงิน​ได้​ตามมาตรา​ 48(1) ​แห่งประมวลรัษฎากร​ ​เฉพาะ​ส่วน​ที่​ไม่​เกินหนึ่งแสนห้าหมื่นบาทแรก​ใน​ปีภาษี​นั้น​ ​สำ​หรับเงิน​ได้​สุทธิที่​เกิดขึ้น​ใน​ปี​ ​พ​.​ศ​. 2551 ​เป็น​ต้นไป​ ​เพื่อ​ให้​การยกเว้นภาษี​เงิน​ได้​บุคคลธรรมดา​ใน​ครั้งนี้​เป็น​ที่​เข้า​ใจ​กัน​โดย​ทั่ว​ไป​ ​กรมสรรพากร​จึง​ขอชี้​แจง​ใน​สาระสำ​คัญ​ ​ดังต่อไปนี้​

1. ​ลดภาระภาษี​เงิน​ได้​บุคคลธรรมดา​ ​โดย​วิธียกเว้นภาษี​เงิน​ได้​บุคคลธรรมดา​ ​สำ​หรับเงิน​ได้​สุทธิหลัง​จาก​หักค่า​ใช้​จ่าย​และ​ค่าลดหย่อนต่างๆ​ ​ตามที่กฎหมายกำ​หนด​ไว้​ ​เฉพาะ​ส่วน​ที่​ไม่​เกิน​ 150,000 ​บาทแรกสำ​หรับปีภาษี​นั้น​ ​ซึ่ง​เดิม​ใน​การคำ​นวณภาษี​เงิน​ได้​บุคคลธรรมดาสำ​หรับเงิน​ได้​สุทธิหลัง​จาก​หักค่า​ใช้​จ่าย​และ​ค่าลดหย่อนต่างๆ​ ​ตามที่กฎหมายกำ​หนด​ไว้​ ​ผู้​มี​เงิน​ได้​จะ​ต้อง​นำ​เงิน​ได้​สุทธิดังกล่าวมาคำ​นวณภาษีตามอัตราที่กำ​หนด​ใน​บัญชีอัตราภาษี​เงิน​ได้​ ​สำ​หรับเงิน​ได้​สุทธิ​ส่วน​ที่​ไม่​เกิน​ 100,000 ​บาท​ ​จะ​เสียภาษี​ใน​อัตราร้อยละ​ 5 ​คิด​เป็น​เงิน​เท่า​กับ​ 5,000 ​บาท​ ​และ​เงิน​ได้​สุทธิ​ส่วน​ที่​เกิน​ 100,000 ​บาท​ ​แต่​ไม่​เกิน​ 500,000 ​บาท​ ​จะ​เสียภาษี​ใน​อัตราร้อยละ​ 10 ​คิด​เป็น​เงิน​เท่า​กับ​ 40,000 ​บาท​ ​แต่​เมื่อพระราชกฤษฎีกา​ฉบับ​นี้​ ​ยกเว้นภาษี​เงิน​ได้​สำ​หรับเงิน​ได้​สุทธิ​ส่วน​ที่​ไม่​เกิน​ 150,000 ​บาทแรก​ ​ดัง​นั้น​ ​ใน​การคำ​นวณภาษี​เงิน​ได้​บุคคลธรรมดา​ ​สำ​หรับ​ผู้​ที่มี​เงิน​ได้​สุทธิ​ไม่​เกิน​ 150,000 ​บาท​ ​จะ​ได้​รับยกเว้น​ไม่​ต้อง​เสียภาษี​เงิน​ได้​บุคคลธรรมดา​ ​และ​สำ​หรับ​ผู้​ที่มี​เงิน​ได้​สุทธิ​เกิน​ 150,000 ​บาท​ ​จะ​ต้อง​นำ​เงิน​ได้​สุทธิ​เฉพาะ​ส่วน​ที่​เกิน​ 150,000 ​บาท​ ​ไปคำ​นวณตามบัญชีอัตราภาษี​เงิน​ได้​บุคคลธรรมดา

อาศัยอำ​นาจตาม​ความ​ใน​มาตรา​ 187 ​ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย​ ​และ​มาตรา​ 65 ​ทวิ​ (2) ​แห่งประมวลรัษฎากร​ซึ่ง​แก้​ไขเพิ่มเติม​โดย​พระราชบัญญัติ​แก้​ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร​ ​(​ฉบับ​ที่​ 25) ​พ​.​ศ​. 2525 ​อัน​เป็น​กฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยว​กับ​การจำ​กัดสิทธิ​และ​เสรีภาพของบุคคล​ ​ซึ่ง​มาตรา​ 29 ​ประกอบ​กับ​มาตรา​ 33 ​และ​มาตรา​ 41 ​ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติ​ให้​กระทำ​ได้​โดย​อาศัยอำ​นาจตามบทบัญญัติ​แห่งกฎหมาย​ ​จึง​ทรงพระกรุณา​โปรดเกล้า​ ​ฯ​ ​ให้​ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้น​ไว้​ ​ดังต่อไปนี้

2. ​วัน​ใช้​บังคับของกฎหมาย​ ​การยกเว้นภาษี​เงิน​ได้​บุคคลธรรมดาตามพระราชกฤษฎีกา​ฉบับ​นี้​ ​มีผล​ใช้​บังคับสำ​หรับเงิน​ได้​ของปี​ ​พ​.​ศ​. 2551 ​ที่​ได้​รับตั้งแต่วันที่​ 1 ​มกราคม​ 2551 ​เป็น​ต้นไป​ ​และ​เนื่อง​จาก​พระราชกฤษฎีกา​ฉบับ​นี้​ ​ได้​ออกมา​ใช้​บังคับ​ใน​วันที่​ 29 ​มีนาคม​ 2551 ​จึง​มีผลทำ​ให้​การคำ​นวณภาษี​เงิน​ได้​หัก​ ​ณ​ ​ที่จ่าย​ ​สำ​หรับเงิน​ได้​ที่​ได้​รับ​ใน​เดือนมีนาคม​ 2551 ​เป็น​ต้นไป​ ​ผู้​จ่ายเงิน​ได้​มีสิทธิปรับปรุงการหักภาษี​เงิน​ได้​ ​ณ​ ​ที่จ่าย​ ​โดย​ให้​คำ​นวณภาษีที่พึง​ต้อง​เสียตลอดปี​ ​พ​.​ศ​. 2551 ​ตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย​ใหม่​ ​แล้ว​หัก​ด้วย​ภาษีที่นำ​ส่ง​แล้ว​ ​จำ​นวนภาษีที่​เหลือ​ให้​เฉลี่ย​และ​นำ​ส่งสำ​หรับเดือนที่​เหลือของปี​ ​พ​.​ศ​. 2551 ​เพื่อ​ไม่​ให้​เป็น​ภาระ​ใน​การขอคืนภาษี​เงิน​ได้​สำ​หรับเงิน​ได้​พึงประ​เมินที่​ได้​รับ​ใน​ปี​ ​พ​.​ศ​. 2551

กรมสรรพากร
13 ​สิงหาคม​ 2551

แนวปฏิบัติในการคำนวณอัตราแลกเปลี่ยน

ที่มา.. The Krungthep turakij web site : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

แนวปฏิบัติในการคำนวณอัตราแลกเปลี่ยน ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.132/2548 ตอน 1
14 มีนาคม พ.ศ. 2550 07:37:00

กรมสรรพากร​ได้​วางแนวทางปฏิบัติ​เกี่ยว​กับ​การคำ​นวณเงินตราต่างประ​เทศ​เป็น​เงินตรา​ไทยตามมาตรา​ 9 ​มาตรา​ 65(5)​(8) ​และ​มาตรา​ 79/4 ​แห่งประมวลรัษฎากร​ ​ตามคำ​สั่งกรมสรรพากรที่​ ​ป​.132/2548 ​ลงวันที่​ 28 ​กัน​ยายน​ 2548 ​โดย​ให้​มีผล​ใช้​บังคับตั้งแต่วันที่​ 1 ​มีนาคม​ 2548 ​จึง​ขอนำ​มา​เป็น​ประ​เด็น​ ​ปุจฉา​-​วิสัชนา​ ​ดังนี้​

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์​ : ​ปุจฉา​ ​แนวทางปฏิบัติ​เกี่ยว​กับ​เงินตรา​ ​ทรัพย์สิน​และ​หนี้สินที่มีค่า​หรือ​ราคา​เป็น​เงินตราต่างประ​เทศที่รับมา​หรือ​จ่ายไประหว่างรอบระยะ​เวลาบัญชี​ ​ตามมาตรา​ 65 ​ทวิ​ (5) ​แห่งประมวลรัษฎากร​ ​อย่างไร​

วิสัชนา​ ​กรณีบริษัท​หรือ​ห้างหุ้น​ส่วน​นิติบุคคล​ได้​รับมา​หรือ​จ่ายไป​ซึ่ง​เงินตรา​ ​ทรัพย์สิน​หรือ​หนี้สิน​ ​ซึ่ง​มีค่า​หรือ​ราคา​เป็น​เงินตราต่างประ​เทศ​ใน​ระหว่างรอบระยะ​เวลาบัญชี​ ​ให้​บริษัท​หรือ​ห้างหุ้น​ส่วน​นิติบุคคลดังกล่าวคำ​นวณค่า​หรือ​ราคาของเงินตรา​ ​ทรัพย์สิน​ ​หรือ​หนี้สิน​เป็น​เงินตรา​ไทยตามราคาตลาด​ใน​วันที่รับมา​หรือ​จ่ายไป​นั้น​ ​ทั้ง​นี้​ ​ตามมาตรา​ 65 ​ทวิ​ (5) ​วรรคสอง​ ​แห่งประมวลรัษฎากร​

1.​ราคาตลาด​ใน​วันที่รับมา​หรือ​จ่ายไป​ ​กรณีการ​ได้​รับเงิน​หรือ​จ่ายเงิน​เป็น​เงินตราต่างประ​เทศ​ (กรณีรับจ่ายเงินสด) ​หมาย​ถึง​ ​อัตรา​แลกเปลี่ยน​ (อัตราซื้อ​หรือ​อัตราขาย) ​ที่​ได้​รับมา​หรือ​จ่ายไปจริง​ ​ใน​ทางปฏิบัติ​จาก​การนำ​เงินสกุลต่างประ​เทศไปแลก​เป็น​เงินสกุลบาท​

2. ​ราคาตลาด​ใน​วันที่รับมา​หรือ​จ่ายไป​ ​กรณีการบันทึกบัญชี​ ​ณ​ ​วันที่​เกิดรายการทรัพย์สิน​ ​หรือ​หนี้สิน​ (กรณีที่​ยัง​มิ​ได้​รับจ่าย​เป็น​เงินสด) ​หมาย​ถึง​

(1) ​อัตรา​แลกเปลี่ยนเงินตราของธนาคารพาณิชย์ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่า​ด้วย​การธนาคารพาณิชย์ที่​ได้​ประกาศ​ไว้​ใน​การคำ​นวณเงินตราต่างประ​เทศ​เป็น​เงินตรา​ไทย​ใน​แต่ละวัน​ (อัตราซื้อ​หรือ​อัตราขาย) ​หรือ​

(2) ​อัตรา​แลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิงประจำ​วันที่ธนาคารแห่งประ​เทศไทย​ ​ประกาศ​ไว้​ใน​การคำ​นวณเงินตราต่างประ​เทศ​เป็น​เงินตรา​ไทย​ใน​แต่ละวัน​ (อัตราซื้อถัวเฉลี่ย​หรือ​อัตราขายถัวเฉลี่ย) (ก) ​กรณีอัตราซื้อถัวเฉลี่ยอาจ​ใช้​อัตรา​ SIGHT ​หรือ​ T/T ​ก็​ได้​ ​หมาย​ถึง​ ​อัตราซื้อถัวเฉลี่ยที่ธนาคารแห่งประ​เทศไทย​ ​ประกาศ​ไว้​ ​ณ​ ​วันทำ​การ​นั้นๆ​ ​ซึ่ง​เป็น​อัตรา​แลกเปลี่ยนซื้อถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่างๆ​ ​ณ​ ​สิ้นวันทำ​การก่อน​ (ข) ​กรณีอัตราขายหมาย​ถึง​ ​อัตราขายถัวเฉลี่ยที่ธนาคารแห่งประ​เทศไทย​ ​ประกาศ​ไว้​ ​ณ​ ​วันทำ​การ​นั้นๆ​ ​ซึ่ง​เป็น​อัตรา​แลกเปลี่ยนขายถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่างๆ​ ​ณ​ ​สิ้นวันทำ​การก่อน​ ​ซึ่ง​ผู้​ประกอบการมีสิทธิ​เลือกถือปฏิบัติตามข้อ​ (1) ​หรือ​ (2) ​อย่าง​ใด​อย่างหนึ่ง​ ​และ​เมื่อ​ได้​เลือกถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์​ใด​แล้ว​ ​ให้​ถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์​นั้น​ตลอดไป​ ​ห้ามมิ​ให้​เปลี่ยนแปลง​ ​ทั้ง​นี้ตามหลัก​ความ​สม่ำ​เสมอ​

ปุจฉา​ ​แนวทางปฏิบัติ​เกี่ยว​กับ​เงินตรา​ ​ทรัพย์สิน​และ​หนี้สินที่มีค่า​หรือ​ราคา​เป็น​เงินตราต่างประ​เทศคงเหลือ​อยู่​ใน​วันสุดท้ายของรอบระยะ​เวลาบัญชี​ ​ตามมาตรา​ 65 ​ทวิ​ (5) ​แห่งประมวลรัษฎากร​ ​อย่างไร​

วิสัชนา​ ​มาตรา​ 65 ​ทวิ​ (5) ​แห่งประมวลรัษฎากร​ ​กำ​หนดแนวทางปฏิบัติ​เกี่ยว​กับ​เงินตรา​ ​ทรัพย์สิน​และ​หนี้สินที่มีค่า​หรือ​ราคา​เป็น​เงินตราต่างประ​เทศคงเหลือ​อยู่​ใน​วันสุดท้ายของรอบระยะ​เวลาบัญชี​ ​ดังนี้​

กรณีบริษัท​หรือ​ห้างหุ้น​ส่วน​นิติบุคคลนอก​จาก​ธนาคารพาณิชย์​หรือ​สถาบันการเงิน​อื่น​ตามที่รัฐมนตรีกำ​หนดมี​เงินตรา​ ​ทรัพย์สิน​ ​หรือ​หนี้สิน​ซึ่ง​มีค่า​หรือ​ราคา​เป็น​เงินตราต่างประ​เทศที่​เหลือ​อยู่​ใน​วันสุดท้ายของรอบระยะ​เวลาบัญชี​ ​ให้​บริษัท​หรือ​ห้างหุ้น​ส่วน​นิติบุคคลดังกล่าวคำ​นวณค่า​หรือ​ราคาของเงินตรา​หรือ​ทรัพย์สิน​เป็น​เงินตรา​ไทยตามอัตราถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อ​ซึ่ง​ธนาคารแห่งประ​เทศไทย​ ​ได้​คำ​นวณ​ไว้​ ​และ​ให้​คำ​นวณค่า​หรือ​ราคาของหนี้สิน​เป็น​เงินตรา​ไทยตามอัตราถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ขาย​ ​ซึ่ง​ธนาคารแห่งประ​เทศไทย​ได้​คำ​นวณ​ไว้​

ทั้ง​นี้ตามมาตรา​ 65 ​ทวิ​ (5) (ก) ​แห่งประมวลรัษฎากร​ ​กรณีบริษัท​หรือ​ห้างหุ้น​ส่วน​นิติบุคคลตามวรรคหนึ่ง​เป็น​ธนาคารพาณิชย์​หรือ​สถาบันการเงิน​อื่น​ที่รัฐมนตรีกำ​หนด​ ​มี​เงินตรา​ ​ทรัพย์สิน​ ​หรือ​หนี้สิน​ซึ่ง​มีค่า​หรือ​ราคา​เป็น​เงินตราต่างประ​เทศที่​เหลือ​อยู่​ใน​วันสุดท้ายของรอบระยะ​เวลาบัญชี​ ​ให้​บริษัท​หรือ​ห้างหุ้น​ส่วน​นิติบุคคลดังกล่าวคำ​นวณค่า​หรือ​ราคาของเงินตรา​ ​ทรัพย์สิน​ ​หรือ​หนี้สิน​เป็น​เงินตรา​ไทยตามอัตราถัวเฉลี่ยระหว่างอัตราซื้อ​ ​และ​อัตราขายของธนาคารพาณิชย์ที่ธนาคารแห่งประ​เทศไทย​ได้​คำ​นวณ​ไว้​

ทั้ง​นี้ตามมาตรา​ 65 ​ทวิ​ (5) (ข) ​แห่งประมวลรัษฎากร​ ​ทรัพย์สิน​ ​หรือ​หนี้สิน​ซึ่ง​มีค่า​หรือ​ราคา​เป็น​เงินตราต่างประ​เทศที่​เหลือ​อยู่​ใน​วันสุดท้ายของรอบระยะ​เวลาบัญชี​ ​ซึ่ง​บริษัท​หรือ​ห้างหุ้น​ส่วน​นิติบุคคล​ต้อง​คำ​นวณค่า​หรือ​ราคา​เป็น​เงินตรา​ไทยตามวรรคหนึ่ง​ ​และ​สอง​ ​หมาย​ถึง​ ​เงินตรา​ ​ทรัพย์สิน​ ​หรือ​หนี้สินที่บริษัท​หรือ​ห้างหุ้น​ส่วน​นิติบุคคลมีสิทธิ​เรียกร้องที่​จะ​ได้​รับ​หรือ​มีภาระผูกพันที่​จะ​ต้อง​ชำ​ระ​เป็น​เงินตราต่างประ​เทศ​เป็น​จำ​นวนเงินที่กำ​หนด​ไว้​แน่นอน​ ​เช่น​ ​เงินฝากธนาคาร​ (Cash) ​ลูกหนี้การค้า​ (Account Receivable) ​ลูกหนี้​และ​ตั๋วเงินรับ​จาก​การขายสินค้า​ (Accounts and Notes Receivable) ​หลักทรัพย์​ใน​ความ​ต้อง​การของตลาด​ (Marketable Securities) ​ซึ่ง​มีวัตถุประสงค์ที่​จะ​เปลี่ยนแปลง​เป็น​เงินสดทันทีที่​ต้อง​การ​ ​แต่​ไม่​รวม​ถึง​ตราสารทุน​ซึ่ง​เป็น​เงินลงทุนระยะยาวที่​เป็น​สกุลเงินตราต่างประ​เทศเพื่อหวังเงินปันผล​ใน​บริษัท​หรือ​ห้างหุ้น​ส่วน​นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประ​เทศ​ ​เงิน​ให้​กู้ยืมแก่บริษัท​ใน​เครือเดียว​กัน​ (Loan to Subsidiaries) ​ค่า​ใช้​จ่ายล่วงหน้า​ (Prepaid Expense) ​เจ้าหนี้​จาก​การซื้อสินค้า​ (Accounts Payable) ​ค่า​ใช้​จ่ายค้างจ่าย​ (Accrued Expense) ​เป็น​ต้น

ตามคำ​สั่งกรมสรรพากรที่​ ​ป​.132/2548 ตอน 2
21 ​มีนาคม​ ​พ​.​ศ​. 2550 07:19:00

ขอนำ​ประ​เด็นแนวปฏิบัติ​ใน​การคำ​นวณเงินตราต่างประ​เทศ​เป็น​เงินตรา​ไทยตามมาตรา​ 9 ​มาตรา​ 65(5)​(8) ​และ​มาตรา​ 79/4 ​แห่งประมวลรัษฎากร​ ​ตามคำ​สั่งกรมสรรพากรที่​ ​ป​.132/2548 ​ลงวันที่​ 28 ​กัน​ยายน​ 2548 ​ซึ่ง​มีผล​ใช้​บังคับตั้งแต่วันที่​ 1 ​มีนาคม​ 2548

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์​ : ​มาปุจฉา​ - ​วิสัชนา​ ​ต่อ​จาก​สัปดาห์ก่อนดังนี้​

ปุจฉา​ ​กรณีบริษัท​ ​ก​ ​จำ​กัด​ ​ส่งออกสินค้า​หรือ​ให้​บริการ​ ​แก่บริษัท​ใน​ต่างประ​เทศ​ ​โดย​ตกลงราคาสินค้า​เป็น​หน่วยเงินตราต่างประ​เทศ​ ​บริษัท​ ​ก​ ​จำ​กัด​ ​จะ​ปฏิบัติ​เกี่ยว​กับ​อัตรา​แลกเปลี่ยน​ใน​การบันทึกบัญชี​เพื่อเสียภาษี​เงิน​ได้​นิติบุคคลอย่างไร​

วิสัชนา​ ​บริษัท​ ​ก​ ​จำ​กัด​ ​มีสิทธิ​ใช้​อัตรา​แลกเปลี่ยน​ใน​การบันทึกบัญชี​เพื่อเสียภาษี​เงิน​ได้​นิติบุคคล​ ​ดังนี้​

1. ​กรณีดำ​เนินการส่งออกสินค้า​และ​บันทึกบัญชี​ใน​วันพฤหัสบดีที่​ 3 ​มีนาคม​ 25xx (1) ​ใช้​อัตรา​แลกเปลี่ยนเงินตรา​ (อัตราซื้อ) ​ของธนาคารพาณิชย์ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่า​ด้วย​การธนาคารพาณิชย์ที่​ได้​ประกาศ​ไว้​ใน​การคำ​นวณเงินตราต่างประ​เทศ​เป็น​เงินตรา​ไทย​ใน​วันพฤหัสบดีที่​ 3 ​มีนาคม​ 25xx ​หรือ​ (2) ​ใช้​อัตรา​แลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิงประจำ​วัน​ (อัตราซื้อถัวเฉลี่ย​ซึ่ง​จะ​เป็น​ SIGHT ​หรือ​ T/T ​ก็​ได้)​ ​ที่ธนาคารแห่งประ​เทศไทยประกาศ​ไว้​ ​ณ​ ​วันพฤหัสบดีที่​ 3 ​มีนาคม​ 25xx ​ซึ่ง​เป็น​อัตรา​แลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่างๆ​ ​ณ​ ​สิ้นวันทำ​การประจำ​วันพุธที่​ 2 ​มีนาคม​ 25xx

2. ​กรณีดำ​เนินการส่งออกสินค้า​และ​บันทึกบัญชี​ใน​วันจันทร์ที่​ 14 ​มีนาคม​ 25xx (1) ​ใช้​อัตรา​แลกเปลี่ยนเงินตรา​ (อัตราซื้อ) ​ของธนาคารพาณิชย์ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่า​ด้วย​การธนาคารพาณิชย์ที่​ได้​ประกาศ​ไว้​ใน​การคำ​นวณเงินตราต่างประ​เทศ​เป็น​เงินตรา​ไทย​ใน​วันจันทร์ที่​ 14 ​มีนาคม​ 25xx ​หรือ​ (2) ​ใช้​อัตรา​แลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิงประจำ​วัน​ (อัตราซื้อถัวเฉลี่ย​ซึ่ง​จะ​เป็น​ SIGHT ​หรือ​ T/T ​ก็​ได้)​ ​ที่ธนาคารแห่งประ​เทศไทยประกาศ​ไว้​ ​ณ​ ​วันจันทร์ที่​ 14 ​มีนาคม​ 25xx ​ซึ่ง​เป็น​อัตรา​แลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่างๆ​ ​ณ​ ​สิ้นวันทำ​การประจำ​วันศุกร์ที่​ 11 ​มีนาคม​ 25xx ​เนื่อง​จาก​วันเสาร์ที่​ 12 ​และ​วันอาทิตย์ที่​ 13 ​มีนาคม​ 25xx ​เป็น​วันหยุดราชการ​

3. ​กรณีดำ​เนินการออกใบแจ้งหนี้ค่าบริการนายหน้า​ ​และ​บันทึกบัญชี​ใน​วันพฤหัสบดีที่​ 7 ​เมษายน​ 25xx (1) ​ใช้​อัตรา​แลกเปลี่ยนเงินตรา​ (อัตราซื้อ) ​ของธนาคารพาณิชย์ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่า​ด้วย​การธนาคารพาณิชย์ที่​ได้​ประกาศ​ไว้​ใน​การคำ​นวณเงินตราต่างประ​เทศ​เป็น​เงินตรา​ไทย​ใน​วันพฤหัสบดีที่​ 7 ​เมษายน​ 25xx ​หรือ​ (2) ​ใช้​อัตรา​และ​เปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิงประจำ​วัน​ (อัตราซื้อถัวเฉลี่ย​ซึ่ง​จะ​เป็น​ SIGHT ​หรือ​ T/T ​ก็​ได้)​ ​ที่ธนาคารแห่งประ​เทศไทยประกาศ​ไว้​ ​ณ​ ​วันพฤหัสบดีที่​ 7 ​เมษายน​ 25xx ​ซึ่ง​เป็น​อัตรา​แลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่างๆ​ ​ณ​ ​สิ้นวันทำ​การประจำ​วันอังคารที่​ 5 ​เมษายน​ 25xx ​เนื่อง​จาก​วันพุธที่​ 6 ​เมษายน​ 25xx ​เป็น​วันหยุดทำ​การของธนาคาร​

ปุจฉา​ ​กรณีบริษัท​ ​ข​ ​จำ​กัด​ ​ได้​กู้ยืมเงิน​จาก​ธนาคาร​ใน​ต่างประ​เทศ​ ​บริษัท​ ​ข​ ​จำ​กัด​ ​ใน​วันเสาร์ที่​ 23 ​เมษายน​ 25xx ​หรือ​วันเสาร์ที่​ 30 ​เมษายน​ 25xx ​จะ​ปฏิบัติ​เกี่ยว​กับ​อัตรา​แลกเปลี่ยน​ใน​การบันทึกบัญชี​เพื่อเสียภาษี​เงิน​ได้​นิติบุคคลอย่างไร​

วิสัชนา​ ​บริษัท​ ​ข​ ​จำ​กัด​ ​มีสิทธิ​ใช้​อัตรา​แลกเปลี่ยน​ใน​การบันทึกบัญชี​เพื่อเสียภาษี​เงิน​ได้​นิติบุคคล​ ​ดังนี้​

1. ​ใช้​อัตรา​แลกเปลี่ยนเงินตรา​ (อัตราขาย) ​ของธนาคารพาณิชย์ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่า​ด้วย​การธนาคารพาณิชย์ที่​ได้​ประกาศ​ไว้​ใน​การคำ​นวณเงินตราต่างประ​เทศ​เป็น​เงินตรา​ไทยดังนี้​ - ​อัตราที่ประกาศ​ใน​วันศุกร์ที่​ 22 ​เมษายน​ 25xx ​กรณีบันทึกบัญชี​ใน​วันเสาร์ที่​ 23 ​เมษายน​ 25xx ​และ​ - ​อัตราที่ประกาศ​ใน​วันศุกร์ที่​ 29 ​เมษายน​ 25xx ​กรณีบันทึกบัญชี​ใน​วันเสาร์ที่​ 30 ​เมษายน​ 25xx

2. ​ใช้​อัตรา​และ​เปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิงประจำ​วัน​ (อัตราขายถัวเฉลี่ย) ​ที่ธนาคารแห่งประ​เทศไทยประกาศ​ - ​อัตรา​แลกเปลี่ยนเงินตราที่ประกาศ​ไว้​ ​ณ​ ​วันศุกร์ที่​ 22 ​เมษายน​ 25xx ​ซึ่ง​เป็น​อัตรา​แลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่างๆ​ ​ณ​ ​สิ้นวันทำ​การประจำ​วันพฤหัสบดีที่​ 21 ​เมษายน​ 25xx ​กรณีบันทึกบัญชี​ใน​วันเสาร์ที่​ 23 ​เมษายน​ 25xx ​และ​ - ​อัตรา​แลกเปลี่ยนเงินตราที่ประกาศ​ไว้​ ​ณ​ ​วันศุกร์ที่​ 29 ​เมษายน​ 25xx (บ่าย) ​ซึ่ง​เป็น​อัตรา​แลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยนของเงินสกุลต่างๆ​ ​ณ​ ​สิ้นวันทำ​การประจำ​วันศุกร์ที่​ 29 ​เมษายน​ 25xx ​กรณีบันทึกบัญชี​ใน​วันเสาร์ที่​ 30 ​เมษายน​ 25xx ​เนื่อง​จาก​ใน​วันทำ​การสุดท้ายของเดือนหนึ่งเดือน​ใด​ ​ธนาคารแห่งประ​เทศไทย​จะ​ออกประกาศอัตรา​แลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่างๆ​ ​ณ​ ​สิ้นวันทำ​การ​นั้น​อีกหนึ่ง​ฉบับ​ ​อนึ่ง​ ​อัตรา​แลกเปลี่ยนเงินตราที่ประกาศ​ไว้​ ​ณ​ ​วันศุกร์ที่​ 29 ​เมษายน​ 25xx (บ่าย) ​ดังกล่าว​ ​ให้​ใช้​สำ​หรับการบันทึกบัญชีสำ​หรับรายการที่​เกิดขึ้น​ใน​วันอาทิตย์ที่​ 1 ​พฤษภาคม​ 25xx ​และ​วันจันทร์ที่​ 2 ​พฤษภาคม​ 25xx ​ด้วย​ ​(​ถ้า​มี)

โดย​ ​สุ​เทพ​ ​พงษ์พิทักษ์

การใช้งานภาษาไทยในแบบฟอร์ม PDF

แบบฟอร์มที่อยู่ในรูป PDF ไฟล์และถูกจัดเก็บในแบบของฟอร์ม ซึ่งจะมีช่องให้เรากรอกข้อมูลลงไปได้ เช่น แบบฟอร์มภาษีของสรรพากร ปกติถ้าเราพิมพ์ภาษาไทยลงไป มันจะไม่ขึ้นหรือขึ้นเป็นข้อความขยะ วิธีแก้ไขต้องติดตั้งโปรแกรมเพิ่มเติม เนื่องจากโปรแกรม Arcobat ที่ติดตั้งมันไม่รู้จักภาษาไทย เราจำเป็นต้องติดตั้งส่วนประกอบของโปรแกรมเพิ่มเติมลงไป คือ

- Package AdbeRdrSD80_all (คลิ๊กเพื่อดาวน์โหลด)

 

ถ้ายังไม่สามารถใช้งานภาษาไทย ให้ลงตัวนี้เพิ่มลงไปอีก

- FontPack80_Xtd_Lang (คลิ๊กเพื่อดาวน์โหลด)

 

ส่วนประกอบของโปรแกรมข้างต้นเป็นของ Arcobat Reader Version 8.0

- Acrobat Reader V.8.0 (คลิ๊กเพื่อดาวน์โหลด)

 

แต่ถึงจะใช้ภาษาไทยได้ เราก็จะไม่สามารถ Save ไฟล์ได้ เนื่องจากโปรแกรมที่ให้ download เป็นฟรีแวร์ ถ้าต้องการ Save ไฟล์ได้ ต้องใช้เวอร์ชั่นเต็ม

 

อ้างอิง http://www.rd.go.th/publish/18433.0.html

วิธีดึงจดหมายจาก gmail ไปเก็บไว้ที่ outlook express

เมื่อได้ลงทะเบียนใช้บริการของ gmail เรียบร้อยแล้ว ให้ login เข้าไป เลือกเมนู Setting แล้วเราจะไปอยู่ที่หัวข้อ General ตรงบรรทัด Language ให้เปลี่ยนเป็น ภาษาไทย (ไม่เปลี่ยนก็ได้) แล้วกด Save Change (อยู่ด้านล่าง)


เราจะออกมาอยู่ด้านนอกให้กดเมนู การตั้งค่า แล้วเลือกแท๊บ การส่งต่อและ POP/IMAP ดูรูปประกอบ ให้ติ๊กเพื่อเปิดใช้บริการ POP หรือ IMAP อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือเลือกใช้ทั้งสองอันเลยก็ได้ กด บันทึกการเปลี่ยนแปลง


ข้อแตกต่างระหว่าง POP และ IMAP คือ POP จะดึงหัวจดหมายและเนื้อเรื่องมาเก็บไว้ที่ Outlook Express ทั้งหมด ส่วน IMAP จะดึงเฉพาะหัวจดหมายเท่านั้น เนื้อเรื่องจะดึงมาก็ต่อเมื่อมีการคลิ๊กอ่านเท่านั้น (ประหยัดเวลาดี) และจะ update จำนวนจดหมายใน gmail กับ outlook express ให้ตรงกัน ถ้ากดลบจดหมายใน Outlook Express ใน gmail ก็จะถูกลบไปด้วย (วิธีนี้นิยมใช้ในโทรศัพท์มือถือ)


gmail setup-1


มาดูการตั้งค่าในโปรแกรม Outlook Express ให้ไปที่เมนู Tools เลือกแท๊บ Accounts


เลือกเมนู Add เลือก Mail


- พิมพ์ชือที่ต้องการให้แสดงลงไป (Display Name) กด Next


- พิมพ์ email address กด Next จะเข้าสู่หน้าจอถัดไป ดูรูปประกอบ


gmail setup-2


ใน My incoming mail server is เราสามารถกำหนดค่าได้ 3 แบบคือแบบ POP3, IMAP และ HTTP


- ในช่อง Incoming mail ถ้ากำหนดเป็น POP3 ให้พิมพ์ pop.gmail.com แต่ถ้ากำหนดเป็น IMAP ให้พิมพ์ imap.gmail.com


- ในช่อง Outgoing mail ให้พิมพ์ smtp.gmail.com


เมื่อกำหนดค่าเรียบร้อยแล้วให้กด Next จะเข้าสู่หน้าจอให้กรอก password ของ email และให้ติ๊กที่ช่อง Remember password ด้วย เป็นอันเรียบร้อย สำหรับคนที่กำหนดค่าเป็น POP3 ต้องเข้าไปกำหนดค่าเพิ่มเติมที่ Outlook Express ดังนี้


ไปที่ Tools เลือกแท๊บ Accounts จะขึ้น list email ให้กดเลือก email ต่อไปให้แท๊บที่ด้านขวาคำว่า Properties เลือกแท๊บ Advanced กำหนดค่าดังนี้


Outgoing mail (SMTP) เป็น 465


Imcoming mail (POP3) เป็น 995


ดูรูปประกอบ


gmail setup-3


หลังจากนั้นให้เลือกแท๊บ Servers ที่ด้านล่างให้ติ๊กถูกที่ช่อง My server requires authentication เป็นอันเรียบร้อย

ค่ารับรองที่ถือเป็นรายจ่ายได้

อ้างอิง ::ฉบับที่ 143::

สรุปค่ารับรอง
1. รายรับรวมหรือทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว (แล้วแต่ว่าอันไหนจะสูงกว่า) x 0.3%  (ไม่เกิน 10 ล้านบาท)
2. ค่ารับรองที่ให้เป็นสิ่งของต้องไม่เกิน 2,000 บาทต่อคน

กฎกระทรวง​
ฉบับ​ที่​ 143 (พ​.​ศ​. 2522)
ออกตาม​ความ​ใน​ประมวลรัษฎากร​
ว่า​ด้วย​ภาษี​เงิน​ได้
---------------------------------------------

อาศัยอำ​นาจตาม​ความ​ใน​มาตรา​ 4 ​แห่งประมวลรัษฎากร​ ​ซึ่ง​แก้​ไขเพิ่มเติม​โดย​พระราชบัญญัติ​แก้​ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร​ ​(​ฉบับ​ที่​ 20) ​พ​.​ศ​. 2513 ​และ​มาตรา​ 65 ​ตรี​ (4) ​แห่งประมวลรัษฎากร​ ​ซึ่ง​แก้​ไขเพิ่มเติม​โดย​พระราชกำ​หนดแก้​ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร​ ​(​ฉบับ​ที่​ 5) ​พ​.​ศ​. 2512 ​รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกกฎกระทรวง​ไว้​ ​ดังต่อไปนี้​

ข้อ​ 1 ​ค่ารับรอง​หรือ​ค่าบริการที่​จะ​ถือ​เป็น​รายจ่าย​ใน​การคำ​นวณกำ​ไรสุทธิ​ได้​ต้อง​เป็น​ไปตามหลักเกณฑ์ที่กำ​หนด​ใน​ข้อ​ 2 ​ข้อ​ 3 ​ข้อ​ 4 ​และ​ข้อ​ 5

ข้อ​ 2 ​ค่ารับรอง​หรือ​ค่าบริการ​นั้น​ ​ต้อง​เป็น​ค่ารับรอง​หรือ​ค่าบริการอันจำ​เป็น​ตามธรรมเนียมประ​เพณีทางธุรกิจ​ทั่ว​ไป​ ​และ​บุคคล​ซึ่ง​ได้​รับการรับรอง​หรือ​รับบริการ​ต้อง​มิ​ใช่​ลูกจ้างของบริษัท​หรือ​ห้างหุ้น​ส่วน​นิติบุคคลเว้นแต่ลูกจ้างดังกล่าว​จะ​มีหน้าที่​เข้า​ร่วม​ใน​การรับรอง​หรือ​การบริการ​นั้น​ด้วย​

ข้อ​ 3 ​ค่ารับรอง​หรือ​ค่าบริการ​ ​ต้อง​

(1) ​เป็น​ค่า​ใช้​จ่ายอันเกี่ยว​เนื่อง​โดย​ตรง​กับ​การรับรอง​หรือ​การบริการที่​จะ​อำ​นวยประ​โยชน์​แก่กิจการ​ ​เช่น​ ​ค่าที่พัก​ ​ค่าอาหาร​ ​ค่า​เครื่องดื่ม​ ​ค่าดูมหรสพ​ ​ค่า​ใช้​จ่ายเกี่ยว​กับ​การกีฬา​ ​เป็น​ต้น​ ​หรือ​

“(2) ​เป็น​ค่าสิ่งของที่​ให้​แก่บุคคล​ซึ่ง​ได้​รับการรับรอง​หรือ​รับบริการ​ไม่​เกินคนละ​ 2,000 ​บาท​ ​ใน​แต่ละคราวที่มีการรับรอง​หรือ​การบริการ​”

ข้อ​ 4 ​จำ​นวนเงินค่ารับรอง​และ​ค่าบริการ​ให้​นำ​มาหัก​เป็น​รายจ่าย​ได้​เท่า​กับ​จำ​นวนที่​ต้อง​จ่าย​ ​แต่รวม​กัน​ต้อง​ไม่​เกินร้อยละ​ 0.3 ​ของจำ​นวนเงินยอดราย​ได้​หรือ​ยอดขายที่​ต้อง​นำ​มารวมคำ​นวณกำ​ไรสุทธิก่อนหักรายจ่าย​ใด​ ​ใน​รอบระยะ​เวลาบัญชี​หรือ​ของจำ​นวนเงินทุนที่​ได้​รับชำ​ระ​แล้ว​ถึง​วันสุดท้ายของรอบระยะ​เวลาบัญชี​ ​แล้ว​แต่จำ​นวน​ใด​จะ​มากกว่า​ ​ทั้ง​นี้รายจ่ายที่​จะ​นำ​มาหัก​ได้​จะ​ต้อง​มีจำ​นวนสูงสุด​ไม่​เกิน​ 10 ​ล้านบาท​

(แก้​ไขเพิ่มเติม​โดย​กฎกระทรวง​ ​ฉบับ​ที่​ 222 (พ​.​ศ​. 2542) ​ใช้​บังคับสำ​หรับรอบระยะ​เวลาบัญชีที่​เริ่ม​ใน​หรือ​หลังวันที่​ 1 ​มกราคม​ 2542 ​เป็น​ต้นไป)

ข้อ​ 5 ​ค่ารับรอง​หรือ​ค่าบริการ​นั้น​ ​ต้อง​มีกรรมการ​หรือ​ผู้​เป็น​หุ้น​ส่วน​หรือ​ผู้​จัดการ​ ​หรือ​ผู้​ได้​รับมอบหมาย​จาก​บุคคลดังกล่าว​เป็น​ผู้​อนุมัติ​หรือ​สั่งจ่ายค่ารับรอง​ ​หรือ​ค่าบริการ​นั้น​ด้วย​ ​และ​ต้อง​มี​ใบรับ​หรือ​หลักฐานของ​ผู้​รับสำ​หรับเงินที่จ่าย​เป็น​ค่ารับรอง​หรือ​เป็น​ค่าบริการเว้นแต่​ใน​กรณีที่​ผู้​รับเงิน​ไม่​มีหน้าที่​ต้อง​ออกใบรับตามประมวลรัษฎากร​

ข้อ​ 6 ​กฎกระทรวง​ฉบับ​นี้​ให้​ใช้​บังคับสำ​หรับรอบระยะ​เวลาบัญชี​เริ่ม​ใน​หรือ​หลังวันที่​ 1 ​มกราคม​ ​พ​.​ศ​. 2522 ​เป็น​ต้นไป​

ให้​ไว้​ ​ณ​ ​วันที่​ 5 ​กัน​ยายน​ ​พ​.​ศ​. 2522

ชาญชัย​ ​ลี้ถาวร
รัฐมนตรี​ช่วย​ว่าการฯ​ ​รักษาราชการแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
____________________________________________________________________
หมายเหตุ​ :- เหตุผล​ใน​การประกาศ​ใช้​กฎกระทรวง​ฉบับ​นี้​ ​คือ​ ​เพื่อกำ​หนดหลักเกณฑ์​ใน​การนำ​ค่ารับรอง​หรือ​ค่าบริการมาหัก​เป็น​รายจ่าย​ใน​การคำ​นวณกำ​ไรสุทธิ​เพื่อเสียภาษี​เงิน​ได้​นิติบุคคลตามมาตรา​ 65 ​ตรี​ (5) ​แห่งประมวลรัษฎากร​ ​ซึ่ง​แก้​ไขเพิ่มเติม​โดย​พระราชกำ​หนดแก้​ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร​ ​(​ฉบับ​ที่​ 5) ​พ​.​ศ​. 2521 ​จึง​จำ​เป็น​ต้อง​ออกกฎกระทรวงนี้​
(ร​.​จ​. ​เล่ม​ 96 ​ตอนที่​ 156 ​วันที่​ 13 ​กัน​ยายน​ 2522)

การวางแผนในเรื่องค่ารับรอง


การวางแผนเกี่ยว​กับ​ค่ารับรอง​ ตอน 1

26 ​ธันวาคม​ ​พ​.​ศ​. 2550 05:00:00

ใน​ช่วง​ใกล้​ปี​ใหม่​ ​เลยเรื่อยไปจน​ถึง​ตรุษจีน​ ​บริษัท​หรือ​ห้างหุ้น​ส่วน​นิติบุคคล​จะ​มีรายจ่ายค่ารับรองเกิดขึ้น​เป็น​จำ​นวนมากกว่าช่วงเวลาปกติ​ ​จึง​ขอนำ​มา​เป็น​ประ​เด็นปุจฉา​ - ​วิสัชนา​ ​ดังนี้​

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์​ : ​ปุจฉา​ ​มีหลักเกณฑ์​และ​เงื่อนไขเกี่ยว​กับ​ค่ารับรอง​หรือ​ค่าบริการอย่างไร​

วิสัชนา​ ​ค่ารับรอง​หรือ​ค่าบริการที่​จะ​นำ​ไปถือ​เป็น​รายจ่าย​ใน​การคำ​นวณกำ​ไร​หรือ​ขาดทุนสุทธิ​เพื่อเสียภาษี​เงิน​ได้​นิติบุคคล​ได้​นั้น​ ​มีข้อกำ​หนด​ให้​ต้อง​เป็น​ไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้​

1. ​เงื่อนไข​ใน​การรับรอง​หรือ​บริการ​

1.1 ​ต้อง​เป็น​ค่ารับรอง​หรือ​ค่าบริการอันจำ​เป็น​ตามธรรมเนียมประ​เพณีทางธุรกิจ​ทั่ว​ไป​ ​ซึ่ง​เป็น​เงื่อนไขอัตโนมัติที่​ไม่​ต้อง​พิจารณา​ ​เพราะ​การรับรองตามปกติประ​เพณี​ ​อันถือ​เป็น​ธรรมเนียมที่นิยมถือปฏิบัติ​กัน​โดย​ทั่ว​ไป​ ​แต่อย่างไรก็ตาม​ ​หากการรับรอง​หรือ​บริการ​นั้น​ ​ผิดไป​จาก​เงื่อนไขดังกล่าว​ ​เช่น​ ​รับรองเพื่อ​ให้​เกิดสิทธิ​หรือ​ประ​โยชน์ต่อ​ผู้​เลี้ยงรับรอง​หรือ​ผู้​ให้​บริการที่มากกว่าสิทธิ​หรือ​ประ​โยชน์​ทั่ว​ไปที่พึง​ได้​ ​ก็ย่อมถือ​เป็น​รายจ่าย​ใน​การคำ​นวณกำ​ไรสุทธิตามเงื่อนไขข้อนี้​ไม่​ได้​

1.2 ​บุคคลที่ทำ​การรับรอง​ต้อง​ไม่​ใช่​ลูกจ้าง​ ​เว้นแต่ลูกจ้าง​จะ​มีหน้าที่​หรือ​มี​ส่วน​เข้า​ร่วม​ใน​การรับรอง​หรือ​บริการ​นั้น​ด้วย​ ​มีการกำ​หนดเงื่อนไขตัวบุคคลที่​จะ​ได้​รับการเลี้ยงรับรอง​หรือ​รับบริการว่า​ ​ต้อง​เป็น​บุคคลภายนอกที่มิ​ใช่​พนักงาน​หรือ​ลูกจ้างของบริษัท​หรือ​ห้างหุ้น​ส่วน​นิติบุคคลที่มีการรับรอง​หรือ​บริการ​ ​แต่ก็​ยัง​เปิดช่อง​ไว้​ให้​พนักงาน​หรือ​ลูกจ้างที่มีหน้าที่​หรือ​มี​ส่วน​โดย​ตรงต่อการรับรอง​หรือ​บริการก็​ให้​มี​ส่วน​เข้า​ร่วม​ใน​งานเลี้ยงรับรอง​หรือ​บริการ​นั้น​ได้​

2. ​ลักษณะของค่ารับรอง​หรือ​ค่าบริการ​

2.1 ​ต้อง​เป็น​ค่า​ใช้​จ่ายดังต่อไปนี้​

(1) ​ค่า​ใช้​จ่ายอันเกี่ยว​เนื่อง​โดย​ตรง​กับ​การรับรอง​หรือ​การบริการเช่น​ ​ค่าที่พัก​ ​ค่าอาหาร​ ​ค่า​เครื่องดื่ม​ ​ค่าดูมหรสพ​ ​ค่า​ใช้​จ่ายเกี่ยว​กับ​การกีฬา​ ​เป็น​ต้น​

(2) ​ค่า​ใช้​จ่าย​ใน​การรับรอง​หรือ​บริการดังกล่าวมี​โอกาสที่​จะ​อำ​นวยประ​โยชน์​แก่กิจการ​ ​ซึ่ง​ไม่​ผูกพันว่าจ่ายค่ารับรอง​หรือ​บริการ​นั้น​แล้ว​กิจการ​ต้อง​ได้​รับประ​โยชน์​โดย​ตรง​ ​เช่น​ ​การรับรอง​หรือ​บริการเพื่อมิตรภาพ​ ​ไมตรีจิตอันดีงาม​ ​การรับรอง​เนื่อง​ใน​ธุรกิจการค้า​ ​การรับรองเพื่อแสดง​ความ​ยินดี​ใน​ความ​สำ​เร็จ​ใน​การทำ​สัญญาทางธุรกิจ​ ​เป็น​ต้น​

ดัง​นั้น​ ​ค่าอาหาร​และ​เครื่องดื่มตามหลักฐานที่ปรากฏอาจ​ไม่​ใช่​ค่ารับรอง​หรือ​ค่าบริการ​ ​หากมิ​ได้​มีการรับรอง​หรือ​บริการแก่บุคคลภายนอกอย่างแท้จริง​ ​เช่น​ ​รายจ่ายเพื่อประ​โยชน์​ส่วน​ตน​และ​ครอบครัวของกรรมการ​หรือ​พนักงาน​หรือ​ที่ปรึกษาของบริษัท​หรือ​ห้างหุ้น​ส่วน​นิติบุคคล​ ​ซึ่ง​ถือ​เป็น​รายจ่ายอันมีลักษณะ​เป็น​การ​ส่วน​ตัว​หรือ​ให้​โดย​เสน่หา​

2.2 ​ใน​กรณีที่​เป็น​ค่าสิ่งของที่​ให้​แก่บุคคล​ซึ่ง​ได้​รับการรับรอง​หรือ​รับบริการ​ ​ต้อง​มีจำ​นวน​ไม่​เกิน​ 2,000 ​บาท​ ​ใน​แต่ละคราวที่มีการรับรอง​หรือ​การบริการ​

2.3 ​กรณีที่ค่ารับรอง​หรือ​ค่าบริการ​ ​ตลอดจนค่าสิ่งของที่​ให้​แก่​ผู้​ที่​ได้​รับการรับรองดังกล่าวมีภาษีมูลค่า​เพิ่ม​หรือ​ภาษีซื้อ​ ​ให้​นำ​ค่าภาษีซื้อมารวม​เป็น​รายจ่ายค่ารับรอง​หรือ​ค่าบริการ​ด้วย​ ​เนื่อง​จาก​ภาษีซื้อสำ​หรับค่ารับรอง​หรือ​ค่าบริการ​เป็น​ภาษีซื้อ​ต้อง​ห้ามมิ​ให้​นำ​ไปเครดิตหักออก​จาก​ภาษีขาย​ใน​การคำ​นวณภาษีมูลค่า​เพิ่ม​ ​แต่ยอม​ให้​นำ​ไปถือ​เป็น​รายจ่าย​ใน​การคำ​นวณกำ​ไรสุทธิ​เพื่อเสียภาษี​เงิน​ได้​นิติบุคคล​ได้​ ​ตามมาตรา​ 65 ​ตรี​ (6 ​ทวิ) ​แห่งประมวลรัษฎากร​

3. ​หลักฐาน​และ​การอนุมัติ​

3.1 ​ค่ารับรอง​หรือ​ค่าบริการ​ต้อง​มี​ใบรับ​ ​หรือ​หลักฐานของ​ผู้​รับ​ ​หรือ​หลักฐาน​อื่น​ใน​กรณีที่​ไม่​มี​ใบรับ​ ​เช่น​ ​รายงานการเดินทาง​ ​ประกอบการบันทึกรายจ่าย​

3.2 ​ค่ารับรอง​หรือ​บริการ​ ​ต้อง​มีการอนุมัติ​หรือ​สั่งจ่าย​ ​โดย​กรรมการ​หรือ​ผู้​เป็น​หุ้น​ส่วน​ผู้​จัดการ​หรือ​ผู้​ที่​ได้​รับมอบหมาย​จาก​บุคคลดังกล่าว​

ดัง​นั้น​ ​นอก​จาก​การมีหลักฐานประกอบการถือ​เป็น​รายจ่าย​ใน​การรับรอง​หรือ​บริการ​แล้ว​ ​ใน​การอนุมัติสั่งจ่าย​โดย​กรรมการ​ ​หรือ​ผู้​เป็น​หุ้น​ส่วน​ผู้​จัดการ​หรือ​ผู้​ที่​ได้​รับมอบหมาย​จาก​บุคคลดังกล่าว​ ​จึง​ควรอย่างยิ่งที่​จะ​ระบุ​ผู้​ที่​ได้​รับการรับรอง​ไว้​ด้วย​ ​เพื่อพิสูจน์​แสดงว่ามิ​ใช่​รายจ่ายอันมีลักษณะ​เป็น​การ​ส่วน​ตัว​หรือ​การ​ให้​โดย​เสน่หา​ ​ซึ่ง​ถือ​เป็น​รายจ่าย​ต้อง​ห้าม​

4. ​จำ​นวนเงินค่ารับรอง​หรือ​ค่าบริการตามหลักเกณฑ์ข้างต้น​ ​ให้​ถือ​เป็น​รายจ่าย​ใน​การคำ​นวณกำ​ไร​หรือ​ขาดทุนสุทธิทางภาษีอากร​ได้​ตามจำ​นวนที่จ่ายจริง​ ​แต่​ไม่​เกินร้อยละ​ 0.3 ​ของยอดราย​ได้​หรือ​ยอดขายที่​ต้อง​นำ​มาคำ​นวณกำ​ไรสุทธิก่อนหักรายจ่าย​ใดๆ​ ​ใน​รอบระยะ​เวลาบัญชี​หรือ​ของเงินทุนชำ​ระ​แล้ว​เพียง​ ​ณ​ ​วันสุดท้ายของรอบระยะ​เวลาบัญชี​แล้ว​แต่อย่างไร​จะ​มากกว่า​ ​ทั้ง​นี้​ ​รายจ่ายที่​จะ​นำ​มาหัก​ได้​จะ​ต้อง​มีจำ​นวนสูงสุด​ไม่​เกิน​ 10 ​ล้านบาท

การวางแผนเกี่ยว​กับ​ค่ารับรอง​ ตอน 2
2 ​มกราคม​ ​พ​.​ศ​. 2551 05:00:00

ขอนำ​ประ​เด็นการวางแผนเกี่ยว​กับ​รายจ่ายค่ารับรอง​หรือ​ค่าบริการ​เป็น​ประ​เด็นปุจฉา​ - ​วิสัชนา​ ​ต่อ​จาก​สัปดาห์ก่อน​ ​เนื่อง​จาก​ใน​ช่วง​ใกล้​ปี​ใหม่​ ​เลยเรื่อยไปจน​ถึง​ตรุษจีน​ ​บริษัท​หรือ​ห้างหุ้น​ส่วน​นิติบุคคล​จะ​มีรายจ่ายค่ารับรองเกิดขึ้น​เป็น​จำ​นวนมาก​

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์​ : ​ปุจฉา​ ​มี​แนวทาง​ใน​การวางแผนภาษี​เกี่ยว​กับ​ค่ารับรอง​หรือ​ค่าบริการอย่างไร​

วิสัชนา​ ​มี​แนวทาง​ใน​การวางแผนภาษีอากร​ ​โดย​เฉพาะภาษี​เงิน​ได้​นิติบุคคล​ ​สำ​หรับรายจ่ายค่ารับรอง​หรือ​ค่าบริการที่​จะ​นำ​ไปถือ​เป็น​รายจ่าย​ใน​การคำ​นวณกำ​ไร​หรือ​ขาดทุนสุทธิ​เพื่อเสียภาษี​เงิน​ได้​นิติบุคคล​ ​พอสังเขปต่อไปนี้​

1. ​ศึกษา​เงื่อนไขเกี่ยว​กับ​ค่ารับรอง​หรือ​ค่าบริการตามที่กฎหมายกำ​หนด​ ​ให้​ชัดเจน​ ​ซึ่ง​ประกอบ​ด้วย​

(1) ​ต้อง​เป็น​ค่ารับรอง​หรือ​ค่าบริการอันจำ​เป็น​ตามธรรมเนียมประ​เพณีทางธุรกิจ​ทั่ว​ไป​

(2) ​ต้อง​รับรองบุคคลที่​ไม่​ใช่​ลูกจ้าง​ ​เว้นแต่ลูกจ้าง​จะ​มี​ส่วน​เข้า​ร่วม​ใน​การรับรอง​หรือ​บริการ​นั้น​ด้วย​

(3) ​ค่ารับรอง​หรือ​ค่าบริการที่​จะ​อำ​นวยประ​โยชน์​แก่กิจการ​

(4) ​กรณีที่​เป็น​ค่าสิ่งของที่​ให้​แก่บุคคล​ซึ่ง​ได้​รับการรับรอง​หรือ​รับบริการ​ ​ต้อง​มีจำ​นวน​ไม่​เกิน​ 2,000 ​บาท​ ​ใน​แต่ละคราวที่มีการรับรอง​หรือ​การบริการ​

(5) ​ต้อง​มีหลักฐานประกอบรายจ่ายค่ารับรอง​หรือ​บริการ​ ​และ​มีการอนุมัติ​หรือ​สั่งจ่าย​โดย​กรรมการ​หรือ​ผู้​เป็น​หุ้น​ส่วน​ผู้​จัดการ​หรือ​ผู้​ที่​ได้​รับมอบหมาย​จาก​บุคคลดังกล่าว​

(6) ​รายการค่ารับรอง​ใด​ที่มีภาษีมูลค่า​เพิ่ม​ให้​นำ​มาถือรวม​เป็น​รายจ่ายค่ารับรอง​ด้วย​

2. ​กำ​หนดจำ​นวนค่ารับรอง​หรือ​ค่าบริการ​ไม่​ให้​มีจำ​นวนสูงเกินกว่าหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำ​หนด​ได้​โดย​นำ​ประมาณการราย​ได้​ ​มาคำ​นวณตามอัตราค่ารับรอง​หรือ​ค่าบริการ​ ​ตามที่กฎหมายกำ​หนด​ ​ตามข้อ​ 1.4 ​แล้ว​จัดสรรแจกจ่ายจำ​นวนค่ารับรองไป​ยัง​แผนก​หรือ​ฝ่ายที่​เกี่ยวข้อง​ ​ก็​จะ​สามารถ​ควบคุมจำ​นวนค่ารับรอง​หรือ​ค่าบริการ​ให้​จำ​กัด​ใน​วงเงิน​ไม่​เกินกว่าจำ​นวนค่ารับรอง​หรือ​ค่าบริการตามที่กำ​หมายกำ​หนดอัน​จะ​เป็น​ผลดีต่อ​ทั้ง​การดำ​เนินกิจการ​ ​และ​การวางแผนภาษีอากร​ ​เพื่อ​ความ​สะดวก​ใน​การคำ​นวณจำ​นวนค่ารับรองตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำ​หนด​

สำ​หรับบริษัท​หรือ​ห้างหุ้น​ส่วน​นิติบุคคลที่มียอดราย​ได้​หรือ​ยอดขายที่นำ​มาคำ​นวณกำ​ไรสุทธิก่อนหักรายจ่าย​ใดๆ​ ​หรือ​เงินทุนชำ​ระ​แล้ว​เพียง​ ​ณ​ ​วันสุดท้ายของรอบระยะ​เวลาบัญชี​ ​เกินกว่า​ 3,333,333,333.33 ​บาทขึ้นไป​ ​ซึ่ง​สามารถ​คำ​นวณจำ​นวนค่ารับรอง​หรือ​ค่าบริการ​ได้​เพียง​ 10 ​ล้านบาท​เท่า​นั้น​

ใน​กรณีที่มียอดราย​ได้​หรือ​ยอดขายที่นำ​มาคำ​นวณกำ​ไรสุทธิก่อนหักรายจ่าย​ใดๆ​ ​หรือ​เงินทุนชำ​ระ​แล้ว​เพียง​ ​ณ​ ​วันสุดท้ายของรอบระยะ​เวลาบัญชีมีจำ​นวนต่ำ​กว่า​ 3,333,333,333.33 ​บาท​ ​จึง​จะ​คำ​นวณค่ารับรองทางภาษีอากร​ใน​อัตราร้อยละ​ 0.3 ​ของยอดราย​ได้​หรือ​ยอดขายที่นำ​มาคำ​นวณกำ​ไรสุทธิก่อนหักรายจ่าย​ใดๆ​ ​หรือ​เงินทุนชำ​ระ​แล้ว​เพียง​ ​ณ​ ​วันสุดท้ายของรอบระยะ​เวลาบัญชี​ ​แต่​ถ้า​ยอดราย​ได้​หรือ​ยอดขายที่นำ​มาคำ​นวณกำ​ไรสุทธิก่อนหักรายจ่าย​ใดๆ​ ​หรือ​เงินทุนชำ​ระ​แล้ว​เพียง​ ​ณ​ ​วันสุดท้ายของรอบระยะ​เวลาบัญชีมีจำ​นวนตั้งแต่​ 3,333,333,333.33 ​บาทขึ้นไป​ ​ให้​ใช้​จำ​นวน​ 10,000,000 ​บาท​เป็น​จำ​นวนค่ารับรองสูงสุดที่บริษัท​หรือ​ห้างหุ้น​ส่วน​นิติบุคคล​นั้น​จะ​สามารถ​ถือ​เป็น​รายจ่าย​ใน​การคำ​นวณกำ​ไร​หรือ​ขาดทุนสุทธิทางภาษีอากร​ได้​

3. ​หลีกเลี่ยงการ​ให้​การรับรอง​หรือ​การบริการ​เป็น​สิ่งของ​ ​เพราะ​มีข้อกำ​หนดจำ​นวนค่ารับรอง​หรือ​ค่าบริการ​ไว้​ค่อนข้างจำ​กัด​ไม่​เกิน​ 2,000 ​บาท​ใน​แต่ละคราวที่มีการรับรอง​หรือ​การบริการ​ ​ใน​ขณะที่จำ​นวนค่ารับรอง​หรือ​บริการที่​เป็น​ค่าที่พัก​ ​ค่าอาหาร​ ​ค่า​เครื่องดื่ม​ ​ค่าดูมหรสพ​ ​ค่า​ใช้​จ่ายเกี่ยว​กับ​การกีฬา​เป็น​ต้น​นั้น​ ​มิ​ได้​มีการจำ​กัดจำ​นวน​ไว้​ ​นอก​จาก​นี้การ​ให้​สิ่งของ​เป็น​ค่ารับรอง​หรือ​การบริการอาจ​ต้อง​เสียภาษีมูลค่า​เพิ่ม​ ​โดย​ถือ​เป็น​การขายสินค้าตามมาตรา​ 77/1 (8) ​แห่งประมวลรัษฎากร​

4. ​แม้​โดย​ข้อกำ​หนดของกฎหมาย​จะ​มิ​ได้​ให้​ระบุชื่อของ​ผู้​ถูกรับรอง​ไว้​ใน​เอกสารหลักฐานประกอบรายจ่ายค่ารับรอง​หรือ​บริการ​ ​แต่การกำ​หนดว่า​ต้อง​รับรองบุคคล​อื่น​ที่มิ​ใช่​ลูกจ้าง​ ​เว้นแต่ลูกจ้าง​จะ​มี​ส่วน​เข้า​ร่วม​ใน​การรับรอง​หรือ​บริการ​นั้น​ด้วย​ ​จึง​จำ​เป็น​ที่​จะ​ต้อง​ระบุชื่อ​ผู้​ถูกรับรอง​หรือ​บริการ​ไว้​ใน​หลักฐานการจ่ายเสมอ​ ​เช่น​ ​ใน​ใบสำ​คัญการลงบัญชี​ (SLIP) ​หรือ​รายงานการขออนุมัติรายจ่ายค่ารับรอง​

5. ​ใน​ปีที่​แล้ว​ไม่​มีราย​ได้​หรือ​ยอดขาย​ ​ก็​สามารถ​มีค่า​ใช้​จ่าย​ได้​ ​โดย​คำ​นวณค่ารับรอง​หรือ​บริการ​จาก​ฐานเงินทุนจดทะ​เบียนที่​เรียกชำ​ระ​แล้ว​จน​ถึง​วันสุดท้ายของรอบระยะ​เวลาบัญชี​

6. ​ใน​กรณีที่รอบระยะ​เวลาบัญชี​ใด​มียอดราย​ได้​หรือ​ยอดขายสูงกว่า​เงินทุนชำ​ระ​แล้ว​จน​ถึง​วันสุดท้ายของรอบระยะ​เวลาบัญชี​ ​ฐานที่​จะ​นำ​มาคำ​นวณจำ​นวนค่ารับรอง​หรือ​บริการ​ต้อง​เป็น​ ​ยอดราย​ได้​หรือ​ยอดขายก่อนหักรายจ่าย​ใดๆ​ ​ที่​ต้อง​นำ​มาคำ​นวณกำ​ไรสุทธิ​ ​ดัง​นั้น​ ​จึง​ไม่​นำ​ราย​ได้​ที่​ได้​รับยกเว้นมารวม​เป็น​ฐาน​ใน​การคิดค่ารับรอง​หรือ​บริการ​ ​แต่​ต้อง​นำ​ราย​ได้​ก่อนหักต้นทุน​หรือ​ค่า​ใช้​จ่าย​ทั้ง​สิ้น​ ​เช่น​ ​ยอดขายทรัพย์สินเก่าก่อนหักต้นทุน​ ​กำ​ไร​จาก​อัตรา​แลกเปลี่ยนก่อนหักผลขาดทุน​จาก​อัตรา​แลกเปลี่ยน​ ​ดอกเบี้ยเงินฝาก​ ​ดอกเบี้ยเงิน​ให้​กู้ยืม​ ​ราย​ได้​เบ็ดเตล็ด​ใน​ส่วน​ที่หักกลบ​กับ​รายจ่าย​ ​ฯลฯ​ ​มารวม​เป็น​ฐาน​ใน​การคิดค่ารับรอง​หรือ​บริการ​ด้วย​

ที่มา http://www.bangkokbiznews.com/

พระราชกฤษฎีกา ฉบับที่ 476/2551

พระราชกฤษฎีกา
ออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๔๗๖)
พ.ศ. ๒๕๕๑
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
เป็นปีที่ ๖๓ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ
ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้สนับสนุนการศึกษาสำหรับเงินได้ที่จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดหาครู อาจารย์ หรือผู้ทรงคุณวุฒิทางการศึกษา หรือเป็นทุนการศึกษา การประดิษฐ์ การพัฒนา การค้นคว้า หรือการวิจัย สำหรับนักเรียน นิสิต หรือนักศึกษา
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๘๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๓ (๑) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๑๐) พ.ศ. ๒๔๙๖ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๓ และมาตรา ๔๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ
ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้

มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า "พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๔๗๖) พ.ศ. ๒๕๕๑"
มาตรา ๒ พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๓) ของวรรคสอง ของมาตรา ๓ แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๔๒๐) พ.ศ. ๒๕๔๗
"(๓) จัดหาครู อาจารย์ หรือผู้ทรงคุณวุฒิทางการศึกษา หรือเป็นทุนการศึกษา การประดิษฐ์ การพัฒนา การค้นคว้า หรือการวิจัย สำหรับนักเรียน นิสิต หรือนักศึกษาของสถานศึกษา ทั้งนี้ ให้เป็นไป
ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด"

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
สมัคร สุนทรเวช
นายกรัฐมนตรี

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ โดยที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๔๒๐) พ.ศ. ๒๕๔๗ ยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ ให้แก่ผู้ที่ให้การสนับสนุนการศึกษาแก่สถานศึกษาของทางราชการสถานศึกษาขององค์การของรัฐบาล โรงเรียนเอกชนที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน หรือ
สถาบันอุดมศึกษาเอกชนที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแล้วนั้น เพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการศึกษามากยิ่งขึ้น สมควรยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้สนับสนุนการศึกษา สำหรับเงินได้ที่จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดหาครู อาจารย์ หรือผู้ทรงคุณวุฒิทางการศึกษา หรือเป็นทุนการศึกษา การประดิษฐ์ การพัฒนา การค้นคว้า หรือการวิจัย จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้


ดูเอกสารฉบับเต็มคลิ๊ก

พระราชกฤษฎีกา ฉบับที่ 475/2551

พระราชกฤษฎีกา
ออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ๔๗๕)
พ.ศ. ๒๕๕๑
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
เป็นปีที่ ๖๓ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ
ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๘๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๓ (๑) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๑๐) พ.ศ. ๒๔๙๖ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๓ และมาตรา ๔๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้

มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า "พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ๔๗๕) พ.ศ. ๒๕๕๑"

มาตรา ๒ พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓ ให้ลดอัตราภาษีเงินได้ตาม (ก) ของ (๒) สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน
นิติบุคคลแห่งบัญชีอัตราภาษีเงินได้ท้ายหมวด ๓ ในลักษณะ ๒ แห่งประมวลรัษฎากร ให้แก่บริษัทตามมาตรา ๔ และคงจัดเก็บในอัตราดังต่อไปนี้ เป็นเวลาสามรอบระยะเวลาบัญชีต่อเนื่องกันนับแต่รอบระยะเวลาบัญชีแรกที่เริ่มในหรือหลังวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑
(๑) ร้อยละยี่สิบของกำไรสุทธิ เฉพาะส่วนที่ไม่เกินยี่สิบล้านบาท สำหรับบริษัทที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่าด้วยการรับหลักทรัพย์จดทะเบียนใน "ตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ"
(๒) ร้อยละยี่สิบห้าของกำไรสุทธิ เฉพาะส่วนที่ไม่เกินสามร้อยล้านบาทสำหรับบริษัทที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ นอกเหนือจากกรณีตาม (๑)

มาตรา ๔ บริษัทที่จะได้รับสิทธิในการลดอัตราภาษีเงินได้ตามมาตรา ๓ จะต้องเป็น
บริษัทที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ และไม่เคยได้รับสิทธิในการลดอัตราภาษีเงินได้ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ๔๖๗) พ.ศ. ๒๕๕๐ หรือไม่ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามมาตรา ๓ (๑) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๔๖๐) พ.ศ. ๒๕๔๙

มาตรา ๕ ในกรณีที่บริษัทตามมาตรา ๔ ได้รับสิทธิในการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล
ตามมาตรา ๔ แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ๓๘๗) พ.ศ. ๒๕๔๔ อยู่ในวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ เมื่อได้ใช้สิทธิในการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลครบห้ารอบระยะเวลาบัญชีต่อเนื่องกันตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวแล้ว ให้ได้รับสิทธิในการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลตามพระราชกฤษฎีกานี้ แต่ไม่เกินรอบระยะเวลาบัญชี ๒๕๕๓ ที่สิ้นสุดในหรือหลังวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๓

มาตรา ๖ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
สมัคร สุนทรเวช
นายกรัฐมนตรี

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายในการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ สมควรลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นเวลาสามรอบระยะเวลาบัญชีต่อเนื่องกันนับแต่รอบระยะเวลาบัญชีแรกที่เริ่มใน
หรือหลังวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑ เพื่อกระตุ้นการลงทุนของภาคเอกชนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอันจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้


ดูเอกสารฉบับเต็มคลิ๊ก

พระราชกฤษฎีกา ฉบับที่ 474/2551

พระราชกฤษฎีกา
ออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ๔๗๔)
พ.ศ. ๒๕๕๑
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
เป็นปีที่ ๖๓ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ
ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงระยะเวลาการได้รับสิทธิลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ บริษัทที่นำหลักทรัพย์มาจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๘๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๓ (๑) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๑๐) พ.ศ. ๒๔๙๖ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๓ และมาตรา ๔๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้

มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า "พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ๔๗๔) พ.ศ. ๒๕๕๑"

มาตรา ๒ พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความใน (๑) ของมาตรา ๔ แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความใน
ประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ๔๖๗) พ.ศ. ๒๕๕๐ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
"(๑) ยื่นคำขอจดทะเบียนหลักทรัพย์กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ระหว่างวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๐ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ และได้รับการจดทะเบียนหลักทรัพย์ภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒"

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
สมัคร สุนทรเวช
นายกรัฐมนตรี

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายในการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ สมควรขยายระยะเวลาการยื่นคำขอจดทะเบียนหลักทรัพย์กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อกระตุ้นการลงทุนของภาคเอกชนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอันจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้


ดูเอกสารฉบับเต็มคลิ๊ก

พระราชกฤษฎีกา ฉบับที่ 473/2551

พระราชกฤษฎีกา
ออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน (ฉบับที่ ๔๗๓)
พ.ศ. ๒๕๕๑
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
เป็นปีที่ ๖๓ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ
ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตราการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน บางกรณี อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๘๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๖๕ ทวิ (๒) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๒๕) พ.ศ. ๒๕๒๕ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๓ และมาตรา ๔๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้

มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า "พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน (ฉบับที่ ๔๗๓) พ.ศ. ๒๕๕๑"

มาตรา ๒ พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๔ จัตวา แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความใน
ประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน (ฉบับที่ ๑๔๕) พ.ศ. ๒๕๒๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน (ฉบับที่ ๓๙๕) พ.ศ. ๒๕๔๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน

"มาตรา ๔ จัตวา การหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินประเภทคอมพิวเตอร์
ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซื้อ ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ หรือได้มาซึ่งสิทธิการใช้ แล้วแต่กรณี เพื่อมีไว้ในการประกอบกิจการของตนเอง ทั้งนี้ เฉพาะทรัพย์สินที่ได้มาและอยู่ในสภาพพร้อมที่จะใช้ได้ตามประสงค์ตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับ ให้หักได้ดังต่อไปนี้

(๑) ภายในสามรอบระยะเวลาบัญชีนับแต่วันที่ได้ทรัพย์สินนั้นมา ในกรณีที่รอบระยะเวลาบัญชีใดไม่เต็มสิบสองเดือน ให้เฉลี่ยตามส่วนสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีนั้น โดยจะเลือกใช้วิธีการทางบัญชีที่รับรองทั่วไปวิธีใดก็ได้

(๒) กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีสินทรัพย์ถาวรซึ่งไม่รวมที่ดินไม่เกิน
สองร้อยล้านบาทและมีการจ้างแรงงานไม่เกินสองร้อยคน ให้หักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาเบื้องต้นในวันที่ได้ทรัพย์สินนั้นมาในอัตราร้อยละสี่สิบของมูลค่าต้นทุน สำหรับมูลค่าต้นทุนส่วนที่เหลือให้หักตามเงื่อนไขและอัตราที่กำหนดไว้ใน (๑) ทรัพย์สินประเภทคอมพิวเตอร์ตามวรรคหนึ่ง หมายความว่า เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ
ทำหน้าที่เสมือนสมองกลใช้สำหรับแก้ปัญหาต่าง ๆ ทั้งที่ง่ายและซับซ้อน โดยวิธีทางคณิตศาสตร์ ตลอดจนอุปกรณ์ของคอมพิวเตอร์อันได้แก่ เครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องช่วยหรือเครื่องประกอบกับคอมพิวเตอร์ รวมทั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อให้คอมพิวเตอร์ใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์"

มาตรา ๔ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๔ อัฏฐ และมาตรา ๔ นว แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน (ฉบับที่ ๑๔๕) พ.ศ. ๒๕๒๗

"มาตรา ๔ อัฏฐ การหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรและอุปกรณ์ของเครื่องจักรที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซื้อหรือได้รับโอนกรรมสิทธิ์เพื่อมีไว้ในการประกอบกิจการของตนเอง ให้หักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาเบื้องต้นในวันที่ได้ทรัพย์สินนั้นมาในอัตราร้อยละสี่สิบของมูลค่าต้นทุน สำหรับมูลค่าต้นทุนส่วนที่เหลือให้หักตามเงื่อนไขและอัตราที่กำหนดไว้ในมาตรา ๔ ทั้งนี้ เฉพาะทรัพย์สินที่ได้มาและอยู่ในสภาพพร้อมที่จะใช้ได้ตามประสงค์ตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๓
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่หักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินตามวรรคหนึ่งจะต้องไม่ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามมาตรา ๓ (๑) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๔๖๐) พ.ศ. ๒๕๔๙
มาตรา ๔ นว การหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินประเภททรัพย์สิน
อย่างอื่นตามมาตรา ๔ (๕) ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีทรัพย์สินถาวร ซึ่งไม่รวมที่ดินไม่เกินสองร้อยล้านบาทและมีการจ้างแรงงานไม่เกินสองร้อยคน ซื้อหรือได้รับโอนกรรมสิทธิ์เพื่อมีไว้ในการประกอบกิจการของตนเอง ให้หักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาในอัตราร้อยละหนึ่งร้อยของมูลค่าต้นทุนของทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างรอบระยะเวลาบัญชีซึ่งมีมูลค่ารวมกันไม่เกินห้าแสนบาทตามเงื่อนไขที่กำหนดในมาตรา ๔ ทั้งนี้ เฉพาะทรัพย์สินที่ได้มาและอยู่ในสภาพพร้อมที่จะใช้ได้ตามประสงค์ตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๓"

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
สมัคร สุนทรเวช
นายกรัฐมนตรี

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายในการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ สมควรกำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้ลงทุนในโปรแกรมคอมพิวเตอร์เครื่องจักรและอุปกรณ์ของเครื่องจักร รวมทั้งทรัพย์สินอย่างอื่น เพื่อใช้ในการประกอบกิจการของบริษัทหรือ
ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น สามารถหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินดังกล่าวได้ อันเป็นการบรรเทาภาระทางภาษีให้แก่ผู้ประกอบการและกระตุ้นให้มีการลงทุนซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นจึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้


ดูเอกสารฉบับเต็มคลิ๊ก

การพัฒนาความรู้ต่อเนื่องทางวิชาชีพ (CPD)

       ผู้ที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ทำบัญชีกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ต้องมีการทำกิจกรรมการ
พัฒนาความรู้ต่อเนื่องทางวิชาชีพ (CPD) ทุกรอบ 3 ปี 27 ชั่วโมง กิจกรรม CPD นั้นมีหลายอย่าง เช่น เข้ารับการฝึกอบรมสัมมนา เป็นวิทยากร เล่าเรียนศึกษา แต่กิจกรรมที่ผู้ทำบัญชีส่วนใหญ่ใช้มากที่สุดคงจะเป็นการฝึกอบรมสัมมนา โดยมีหลักเกณฑ์สำคัญในรอบ 3 ปีคือ


1. ต้องทำกิจกรรม CPD อย่างน้อยปีละ 6 ชั่วโมง
2. ต้องเป็นกิจกรรมด้านบัญชีอย่างน้อย 18 ชั่วโมง
3. อาจเลือกกิจกรรม CPD ด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพบัญชีได้มากที่สุด 9 ชั่วโมง เช่น การอบรมเกี่ยวกับการภาษีอากร กฎหมายแรงงาน กฎหมายธุรกิจต่างๆ วิทยากรคอมพิวเตอร์ ฯลฯ

        ประเด็นที่มักเข้าใจผิดกันก็คือ ผู้ทำบัญชีเข้าใจว่าต้องอบรมบัญชี 18 ชั่วโมง และบังคับอื่นๆ 9 ชั่วโมง ที่ถูกต้องแล้ว กฎหมายเขียนกำหนดขั้นต่ำว่าต้องเป็นบัญชีอย่าง
น้อย 18 ชั่วโมง ดังนั้นถ้าอบรมหรือทำกิจกรรม CPD บัญชีทั้ง 27 ชั่วโมง โดยไม่ต้องอบรมเรื่องอื่นๆ ก็ได้ ถือว่าทำกิจกรรม CPD ครบถ้วนแล้ว

.

หลักการของพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543

1. แก้ไขหลักการจากเดิมที่กำหนดให้ธุรกิจทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาที่ประกอบธุรกิจตามประเภทที่ รัฐมนตรีประกาศกำหนดต้องจัดทำบัญชีเป็นกำหนดให้เฉพาะนิติบุคคลเท่านั้น ที่มีหน้าที่จัดทำบัญชีและเพิ่มกิจการร่วมค้าตามประมวลรัษฏากรให้เป็นผู้ที่หน้าที่จัดทำบัญชีด้วยบุคคลธรรมดาและห้างหุ้นส่วนที่ไม่ได้จดทะเบียนไม่ต้องจัดทำบัญชี เว้นแต่รัฐมนตรีจะออกประกาศให้เป็นผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี


2. กำหนดให้ผู้ทำบัญชีต้องเข้ามามีส่วนร่วมรับผิดชอบในการจัดทำบัญชีของธุรกิจโดยแบ่งแยกหน้าที่และความรับผิดชอบ ระหว่างผู้ทำบัญชีและผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีให้ชัดเจน ซึ่งมีการเพิ่มโทษจากกฎหมายเดิมโดยบทกำหนดโทษมีทั้งโทษปรับและจำคุก สำหรับผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีและผู้ทำบัญชีที่กระทำความผิด


3. ให้อธิบดีโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดคุณสมบัติ และเงื่อนไขของการเป็นผู้ทำบัญชี รวมทั้งกำหนดข้อยกเว้นให้ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีหรือผู้ทำบัญชีไม่ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือส่วนใดส่วนหนึ่ง โดยให้คำนึงถึงมาตรฐานการบัญชี และข้อคิดเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสถาบันวิชาชีพบัญชีประกอบด้วย


4. กำหนดให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกกฎกระทรวง ยกเว้นให้งบการเงินของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนที่มีทุน, สินทรัพย์ หรือรายได้ รายการใดรายการหนึ่งหรือทุกรายการไม่เกินที่กำหนด โดยกฎกระทรวงไม่ต้องรับการตรวจสอบและแสดงความเห็นโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต


5. ลดภาระของธุรกิจในการเก็บรักษาบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีจาก 10 ปีเหลือ 5 ปี เว้นแต่ในกรณีที่จำเป็นในการตรวจสอบบัญชี อธิบดีโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรี มีอำนาจกำหนดให้ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีเก็บรักษาบัญชี และ เอกสารประกอบการลงบัญชีไว้เกิน 5 ปีแต่ต้องไม่เกิน 7 ปี


6. กำหนดให้การจัดทำบัญชีต้องเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีและมีการรับรองมาตรฐานการบัญชีที่สมาคมนักบัญชีและผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแห่งประเทศไทยกำหนดขึ้น ซึ่งคณะกรรมการควบคุมการประกอบวิชาชีพสอบบัญชีได้มีมติให้ประกาศใช้แล้วเป็นมาตรฐานการบัญชีตามกฎหมาย


สรุปสาระสำคัญพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543


1. กำหนดผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี

กำหนดให้เฉพาะนิติบุคคลเท่านั้นที่มีหน้าที่จัดทำบัญชี และกำหนดให้กิจการร่วมค้าตามประมวลรัษฎากรเป็นผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีด้วย โดยกำหนดวันเริ่มทำบัญชีของนิติบุคคลต่างๆ ไว้ด้วย ดังนี้

ประเภทนิติบุคคล วันเริ่มทำบัญชี
- ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน วันที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายไทย
- บริษัทจำกัด วันที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายไทย
- บริษัทมหาชนจำกัด วันที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายไทย
- นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศที่ประกอบ

ธุรกิจในประเทศไทย วันที่เริ่มต้นประกอบธุรกิจในประเทศไทย
- กิจการร่วมค้าตามประมวลรัษฎากร วันที่เริ่มต้นประกอบกิจการ


สำหรับบุคคลธรรมดาและห้างหุ้นส่วนที่ไม่ได้จดทะเบียนไม่ต้องจัดทำบัญชีเว้นแต่รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีจะออกประกาศให้เป็นผู้ที่มีหน้าที่จัดทำบัญชี ซึ่งเมื่อเป็นผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีแล้วจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับวันเริ่มทำบัญชีเริ่มแรก และวิธีการจัดทำบัญชีของบุคคลธรรมดาหรือห้างหุ้นส่วนที่มิได้จดทะเบียนนั้นตามที่อธิบดีกำหนด


2. กำหนดความรับผิดชอบในการจัดทำบัญชี
กำหนดความรับผิดชอบในการจัดทำบัญชีของธุรกิจ โดยแบ่งแยกหน้าที่และความรับผิดชอบระหว่างผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีและผู้ทำบัญชีอย่างชัดเจน ดังนี้


2.1 ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี หมายถึง ผู้มีหน้าที่จัดให้มีการทำบัญชี โดยมีหน้าที่ตามกฎหมาย ดังนี้


2.1.1 ต้องจัดให้มีการทำบัญชีให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนดนับแต่วันเริ่มทำบัญชี

 

2.1.2 ต้องส่งมอบเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีให้แก่ผู้ทำบัญชีให้ถูกต้องครบถ้วนเพื่อให้บัญชีที่จัดทำขึ้นสามารถแสดงผลการดำเนินงาน ฐานะการเงิน หรือการเปลี่ยนแปลงฐานะการเงินที่เป็นอยู่ตามความเป็นจริงและตามมาตรฐานการบัญชี ซึ่งมาตรฐานการบัญชี หมายถึง หลักการบัญชีและวิธีปฏิบัติทางการบัญชีที่รับรองทั่วไป หรือมาตรฐานการบัญชีที่กำหนดตามกฎหมาย โดยในระหว่างที่ยังไม่มีมาตรฐานการบัญชีที่กฎหมายกำหนดให้ถือว่ามาตรฐานการบัญชีที่กำหนดโดยสมาคมนักบัญชีและผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแห่งประเทศไทย ซึ่งคณะกรรมการควบคุมการประกอบวิชาชีพสอบบัญชีได้มีมติให้ประกาศใช้แล้ว เป็นมาตรฐานการบัญชี ทั้งนี้อธิบดีมีอำนาจประกาศกำหนดข้อยกเว้นให้ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีไม่ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือส่วนใดส่วนหนึ่ง


2.1.3 ต้องปิดบัญชีและจัดทำงบการเงิน โดยมีรายการย่อตามที่อธิบดีประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรี พร้อมทั้งยื่นงบการเงินต่อสำนักงานกลางบัญชีหรือสำนักงานบัญชีประจำท้องที่ซึ่งงบการเงิน หมายถึงรายงานผลการดำเนินงาน ฐานะการเงิน หรือการเปลี่ยนแปลงฐานะการเงินของกิจการ ไม่ว่าจะรายงานโดยงบดุล งบกำไรขาดทุน งบกำไรสะสม งบกระแสเงินสด งบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของผู้ถือหุ้น งบประกอบ หรือหมายเหตุประกอบงบการเงิน หรือคำอธิบายอื่นซึ่งระบุไว้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของงบการเงิน


2.1.4 ต้องจัดให้งบการเงินได้รับการตรวจสอบและแสดงความเห็นโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต เว้นแต่งบการเงินของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนที่จัดตั้งขึ้นตามกฏหมายไทย ที่มีทุน สินทรัพย์ หรือรายได้ รายการใดรายการหนึ่งหรือทุกรายการไม่เกินที่กำหนดโดยกฎกระทรวงไม่ต้องจัดให้มีผู้สอบบัญชีรับอนุญาตตรวจสอบงบการเงินได้


2.1.5 ต้องเก็บรักษาบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีไว้ ณ สถานที่ทำการหรือสถานที่ที่ใช้เป็นที่ทำการผลิตหรือเก็บสินค้าเป็นประจำ หรือสถานที่ที่ใช้เป็นที่ทำงานเป็นประจำ โดยเก็บไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี ทั้งนี้อธิบดีโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีจะกำหนดให้ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีสำหรับกิจการบางประเภทเก็บรักษาบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีไว้เกิน 5 ปีแต่ต้องไม่เกิน 7 ปีได้


2.1.6 ต้องจัดให้มีผู้ทำบัญชีซึ่งเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติตามที่อธิบดีกำหนด โดยต้องจัดให้มีผู้ทำบัญชีดังกล่าวภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ ในกรณีที่มีความจำเป็น อธิบดีโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีจะขยายกำหนดระยะเวลาออกไปอีกได้แต่ต้องไม่เกินหนึ่งปี ถ้าผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีเป็นบุคคลธรรมดา จะเป็นผู้ทำบัญชีสำหรับกิจการของตนเองก็ได้


2.1.7 มีหน้าที่ควบคุมดูแลผู้ทำบัญชีให้จัดทำบัญชีให้ตรงต่อความเป็นจริงและถูกต้องตามกฎหมาย


2.2 ผู้ทำบัญชี หมายถึง ผู้รับผิดชอบในการทำบัญชีของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีไม่ว่าจะเป็นลูกจ้างของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีหรือไม่ก็ตาม โดยผู้ทำบัญชีจะต้องมีคุณสมบัติและเงื่อนไขของการเป็นผู้ทำบัญชีตามที่อธิบดีประกาศกำหนด ทั้งนี้หากผู้ใดเป็นผู้ทำบัญชีของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับไม่น้อยกว่า 5 ปี แต่ไม่มีคุณสมบัติของการเป็นผู้ทำบัญชีตามที่อธิบดีกำหนด หากประสงค์จะเป็นผู้ทำบัญชีตามพระราชบัญญัตินี้ต่อไป ให้ผู้ทำบัญชีนั้นแจ้งต่ออธิบดีตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนดภายใน60 วันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ และเมื่อผู้นั้นเข้ารับการอบรมและสำเร็จการอบรมตามหลักเกณฑ์ วิธีการและระยะเวลาที่อธิบดีประกาศกำหนดแล้ว ให้ผู้นั้นเป็นผู้ทำบัญชีต่อไปได้เป็นเวลา 8 ปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ


ผู้ทำบัญชีมีหน้าที่ตามกฎหมาย ดังนี้


2.2.1 ต้องจัดทำบัญชีเพื่อให้มีการแสดงผลการดำเนินงาน ฐานะการเงิน หรือ การเปลี่ยนแปลงฐานะการเงินของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีที่เป็นอยู่ตามความเป็นจริงและตามมาตรฐานการบัญชี โดยมีเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีให้ถูกต้องครบถ้วน ในการจัดทำบัญชีให้เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีนั้น อธิบดีมีอำนาจประกาศกำหนดข้อยกเว้นให้ผู้ทำบัญชีไม่ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือส่วนใดส่วนหนึ่ง


2.2.2 ในการลงรายการในบัญชี ผู้ทำบัญชีต้องลงรายการเป็นภาษาไทย หากลงรายการเป็นภาษาต่างประเทศ ให้มีภาษาไทยกำกับ หรือลงรายการเป็นรหัสบัญชีให้มีคู่มือคำแปลรหัสที่เป็นภาษาไทยไว้ รวมทั้งต้องเขียนด้วยหมึก พิมพ์ดีด ตีพิมพ์ หรือทำด้วยวิธีอื่นใดที่ได้ผลในทำนองเดียวกัน


3.กำหนดอำนาจในการตรวจสอบบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีกำหนดให้สารวัตรใหญ่บัญชีและสารวัตรบัญชีมีอำนาจตรวจสอบบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชี โดยมีอำนาจเข้าไปในสถานที่ที่ทำการหรือสถานที่เก็บรักษาบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชี ของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีหรือผู้ทำบัญชี หรือสถานที่รวบรวมหรือประมวลข้อมูลของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีหรือผู้ทำบัญชี รวมทั้งมีอำนาจสั่งเป็นหนังสือให้ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี หรือผู้ทำบัญชีมาให้ถ้อยคำ หรือส่งบัญชีเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชี รวมทั้งเชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำได้


4. บทกำหนดโทษ ผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้จะต้องรับโทษตามลักษณะความผิด ซึ่งโทษมีทั้งโทษปรับ และจำคุก และในกรณีที่เป็นความผิดต่อเนื่องมีโทษปรับรายวันจนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง เช่น

กรณี บทกำหนดโทษ ผู้ที่ต้องรับโทษ

ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี
- ไม่จัดให้มีการทำบัญชีตามพระราชบัญญัติ กำหนดและตามวันเริ่มทำบัญชีที่กำหนด ปรับไม่เกินสามหมื่นบาทและปรับเป็นรายวันอีกไม่เกินวันละหนึ่งพันบาทจนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง
- ไม่จัดทำงบการเงินและยื่นงบการเงินภายในเวลาที่กำหนด ปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท
- ไม่จัดให้งบการเงินได้รับการตรวจสอบ และ แสดงความเห็นโดย ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ปรับไม่เกินสองหมื่นบาท
- ไม่ส่งมอบเอกสารที่ต้องใช้ประกอบ การลงบัญชี ให้แก่ผู้ทำบัญชีให้ถูกต้อง ปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
- ไม่จัดให้มีผู้ทำบัญชีซึ่งเป็นผู้มีคุณสมบัติตามที่อธิบดีกำหนดปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท - ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น หรือ ทำให้สูญหาย ทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งบัญชี หรือเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชี จำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกิน สี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ - ลงรายการเท็จ แก้ไข ละเว้นการลง รายการในบัญชี หรืองบการเงิน หรือแก้ไขเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการ ลงบัญชีเพื่อให้ผิดความเป็นจริง จำคุกไม่เกินสามปี หรือ ปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือ ทั้งจำทั้งปรับผู้กระทำความผิด
- ไม่จัดทำบัญชีเพื่อให้มีการแสดงผล การดำเนินงาน ฐานะการเงินหรือการเปลี่ยนแปลงฐานะการเงิน ตามความเป็นจริง และตามมาตรฐานการบัญชีปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
- ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น หรือ ทำให้สูญหาย ทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งบัญชี หรือเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชี จำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- ลงรายการเท็จ แก้ไข ละเว้นการลง รายการในบัญชี หรืองบการเงิน หรือแก้ไขเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการ ลงบัญชีเพื่อให้ผิดความเป็นจริงจำคุกไม่เกินสองปี หรือ ปรับไม่เกิน สี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


คลิ๊กเพื่อดูพระราชบัญญัติการบัญชี ปี 2543 ฉบับเต็ม

จัดการ Sitemaps อย่างไรเมื่อเปลี่ยนมาใช้ Custom Domain

เมื่อเปลี่ยนมาใช้ Custom Domain ถ้ามีปัญหาเรื่อง sitemaps error เราลองมาดูวิธีแก้ไขกันนะครับ


1.ขั้นแรก คุณต้องสมัครใช้บริการของ FeedBurner (www.feedburner.com) ก่อน หลังลงทะเบียนแล้ว login เข้าสู่ระบบ จะพบช่อง ให้กรอก url ของ blogspot ลงไป


กด Next


Feeburner-1


2.จะเข้าสู่หน้าจอถัดไป ซึ่งจะให้เราเลือกว่าจะใช้แบบ atom หรือ rss (เลือกแบบไหนก็ได้)


Feeburner-2


3.ตั้งชื่อ Feed Title และ Feed Address ให้เรียบร้อย แล้วกด Activeate Feed กด Next ไปอีกครั้ง ในหน้าถัดไปให้ ให้ติ๊กที่ หน้าช่อง Clickthroughs - How often people click items back to your site แล้วค่อยกด Next อีกครั้ง เป็นอันเรียบร้อย


Feeburner-3


4.ไปที่ blogger แล้ว login เข้าไป เลือกเมนู การตั้งค่า เลือกแท๊บ ฟีตของไซต์ ที่ช่อง Url การเปลี่ยนเส้นทางฟีตข้อมูลของบทความ ให้พิมพ์ค่า Feed Address ที่กำหนดไว้ในข้อ 3 แล้วกด บันทึกการตั้งค่า


Feeburner-4


5.ไปที่ google webmaster tools เข้าไปเปลี่ยนข้อความใน Sitemaps ใหม่ให้เป็นดังนี้ ลบบรรทัดเดิมออก แล้ว add เข้าไปใหม่ (สำหรับคำว่า atom.xml? สามารถเปลี่ยนเป็น rss.xml? ได้ แล้วแต่ว่าคุณชอบค่ายไหน)


atom.xml?orderby=updated


(อันนี้ก็ใช้ได้ เคยลองแล้ว)


atom.xml?redirect=false


(อันนี้ก็น่าจะใช้ได้)


atom.xml?redirect=false&start-index=1&max-results=100


(สำหรับบทความไม่เกิน 100 เรื่อง)


atom.xml?redirect=false&start-index=101&max-results=100


(ถ้าเกิน 100 เรื่องให้เพิ่มบรรทัดนี้เข้าไปอีก 1 บรรทัด)


ดูรูปประกอบ


Feeburner-5


ที่มา http://blog.gpowered.net/2007/09/using-blogger-and-feedburner-sitemaps.html (ในเว็บนี้ไม่ได้บอกว่าให้ใช้กับ Custom Domain แต่ผมลองแล้วมันแก้ Sitemaps error ได้)