สปส. ลดอัตราเงินสมทบ เหลือร้อยละ 3 ตั้งแต่งวดเดือน ก.ค. –ธ.ค. 52

สำนักงานประกันสังคม (สปส.) บรรเทาภาระให้นายจ้างและผู้ประกันตน โดยการลดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม จากเดิมฝ่ายละ ร้อยละ 5 เป็นฝ่ายละ ร้อยละ 3 ตั้งแต่ งวดเดือน ก.ค. – งวดเดือน ธ.ค. 52

สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เปิดเผยว่า สำนักงานประกันสังคมได้มีมาตรการ “ลดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม” เพื่อเป็นการบรรเทาภาระให้กับนายจ้างผู้ประกันตน ซึ่ง สนองตอบต่อมาตรการในการบรรเทาปัญหาการเลิกจ้างของกระทรวงแรงงานในการลดค่าครองชีพตามมาตรการ “3 ลด 3 เพิ่ม” จากเดิมฝ่ายละ ร้อยละ 5 ของค่าจ้าง เป็นฝ่ายละ ร้อยละ 3 ของ ค่าจ้าง ส่วนรัฐบาลจ่ายเงินสมทบในอัตราร้อยละ 2.75 เท่าเดิม โดยจะเริ่มลดอัตราเงินสมทบ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2552 และสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2552 ซึ่ง วันที่ 1 มกราคม 2553  ให้นายจ้างนำส่งเงินสมทบในส่วนของนายจ้างและผู้ประกันตน ฝ่ายละ ร้อยละ 5 เช่นเดิม ดังนั้น การนำส่งเงินสมทบของงวดเดือน กรกฎาคม ถึง งวดเดือนธันวาคม 2552 (6 งวด) นายจ้างจะต้องนำส่งเงินสมทบในส่วนของนายจ้างและผู้ประกันตนภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนที่มีการจ่ายค่าจ้าง ในอัตราฝ่ายละร้อยละ 3 ของค่าจ้าง เช่น ค่าจ้างงวดเดือนกรกฎาคม 2552 นายจ้างจะต้องนำส่งเงินสมทบในอัตราฝ่ายละร้อยละ 3 ของค่าจ้าง (ฐานค่าจ้าง 15,000 บาท นายจ้างจะต้องนำส่งเงินสมทบในส่วนของนายจ้างและผู้ประกันตนฝ่ายละ450 บาทต่อเดือน) แต่สำหรับ ค่าจ้าง งวดเดือนมกราคม 2553 นายจ้างจะต้องนำส่งเงินสมทบ ในอัตราฝ่ายละร้อยละ 5 ของค่าจ้าง (ฐานค่าจ้าง 15,000 บาท นายจ้างจะต้องนำส่งเงินสมทบในส่วนของนายจ้างและผู้ประกันตน ฝ่ายละ 750 บาทต่อเดือน) ตามเดิม

สำหรับ ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 (ผู้ประกันตนโดยสมัครใจ) ได้กำหนดลดอัตราเงินสมทบ จากเดิมร้อยละ 9 ของค่าจ้าง (ฐานค่าจ้าง 4,800 บาท) ลดเหลือร้อยละ 5 ของค่าจ้าง เช่นกัน ดังนั้นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ที่นำส่งเงินสมทบเดิม 432 บาท เป็นนำส่งเงินสมทบเดือนละ 240 บาท ตั้งแต่งวดเดือน กรกฎาคม 2552 และสิ้นสุดที่งวดเดือน ธันวาคม 2552 เป็นระยะเวลา 6 งวด ทั้งนี้ งวดเดือน มกราคม 2553 ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ให้นำส่งเงินสมทบ เดือนละ  432 บาท เช่นเดิม

หากนายจ้างและผู้ประกันตนมีข้อสงสัย สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ ที่สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่/จังหวัด/สาขาทั่วประเทศ หรือ โทร.1506 ติดต่อเจ้าหน้าที่โดยตรง ให้บริการทุกวันไม่เว้นวันหยุด ตั้งแต่เวลา 07.00 – 19.00 น.หรือติดต่อระบบโทรศัพท์ ตอบรับอัตโนมัติให้บริการทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง หรือดูรายละเอียดได้ที่ www.sso.go.th

……………………………………………………………..

ศูนย์สารนิเทศ สายด่วน 1506 www.sso.go.th

ประกาศของสำนักงานประกันสังคมลงวันที่ 14/07/52  ประกาศสำหรับเจ้าของสถานประกอบการ , สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 39

ที่มาข่าวเอามาจากเว็บของสำนักงานประกันสังคมเห็นลงไว้วันที่ 17/07/52  http://www.sso.go.th/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A7/page_3264

คำแนะนำในการจดทะเบียนพาณิชย์

คำแนะนำทะเบียนพาณิชย์

ภาย หลังจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ได้ถ่ายโอนงานจดทะเบียนพาณิชย์ ตามพระราชบัญญัติทะเบียนพาณิชย์ พ.ศ. 2499 ตามพระราชบัญญัติทะเบียนพาณิชย์ พ.ศ.2499 ตามแผนขั้นตอนการถ่ายโอนภารกิจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดพร้อมได้ออกประกาศกระทรวง พาณิชย์ ตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นสำนักงานทะเบียนพาณิชย์และแต่งตั้งเจ้า หน้าที่ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่และนายทะเบียน พาณิชย์เพื่อปฏิบัติงานในเขตจังหวัด รวมทั้งกำหนดพาณิชยกิจที่ผู้ประกอบพาณิชยกิจจะต้องมาจดทะเบียน ณ องค์การบริหารส่วนจังหวัด ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การตั้งสำนักงานทะเบียนพาณิชย์ เรื่อง การตั้งสำนักงานทะเบียนพาณิชย์แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่และนายทะเบียน พาณิชย์(ฉบับที่6) พ.ศ.2549 และประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ให้ผู้ประกอบพาณิชยกิจต้องจดทะเบียนพาณิชย์(ฉบับที่9) พ.ศ.2549 ลว. 29 มีนาคม 2549
ดังนั้น องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลาจึงได้ใคร่ขอให้ผู้ประกอบพาณิชยกิจในเขตจังหวัดจังหวัดสงขลาต้องยื่นคำขอจดทะเบียนพาณิชย์ ณ งานทะเบียนพาณิชย์องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา หลังที่ว่าการอำเภอเมืองสงขลา ถนนราชดำเนิน อำเภอเมืองจังหวัดสงขลา ตั้งแต่วันที่ 14 เมษายน 2549 เป็นต้นไป
1. ผู้ประกอบพาณิชยกิจ หมายถึง

- บุคคลธรรมดา(เจ้าของคนเดียว)

- ห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล

- นิติบุคคลต่างประเทศที่มาตั้งสำนักงานสาขาในประเทศไทย
2. พาณิชยกิจที่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ ณ สำนักงานทะเบียนพาณิชย์องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา
- การจัดทำโรงสีข้าวและการทำโรงเลื่อยที่ใช้เครื่องจักร
- การขายสินค้าไม่ว่าอย่างใดๆ อย่างเดียวหรือหลายอย่างก็ตามคิดรวมทั้งสิ้นในวันหนึ่งวันใด ขายได้เป็นเงินตั้งแต่ 20 บาทขึ้นไปหรือมีสินค้าดังกล่าวไว้เพื่อขายที่มีค่ารวมเป็นเงินตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไป

- การเป็นนายหน้าหรือตัวแทนค้าต่างซึ่งทำการเกี่ยวกับสินค้าไม่ว่าอย่างใดๆ อย่างเดียวหรือหลายอย่างก็ตามและสินค้านั้นมีค่ารวมทั้งสิ้นในวันหนึ่งวันใดเป็นเงินตั้งแต่ 20 บาทขึ้นไปหรือในวันหนึ่งวันใดมีสินค้าที่ผลิตได้มีค่ารวมทั้งสิ้นเป็นเงินตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไป

- การขนส่งทางทะเล การขนส่งโดยเรือกลไฟ หรือ เรือยนต์ประจำทาง การขนส่งโดยรถไฟ การขนส่งโดยรถราง การขนส่งโดยรถยนต์ประจำทาง การขายทอดตลาด การรับซื้อ ขายที่ดิน การให้กู้ยืมเงิน การรับแลกเปลี่ยน หรือซื้อขายเงินตราต่างประเทศ การซื้อขายตั๋วเงิน การธนาคารการโพยก๊วน การทำโรงรับจำนำ และการทำโรงแรม

3. พาณิชยกิจที่ต้องจดทะเบียน ณ สำนักงานทะเบียนพาณิชย์ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ (ฉบับที่ 9) พ.ศ.2549
- การขาย หรือให้เช่า แผ่นซีดี แถบบันทึก วีดีทัศน์ แผ่นวีดีทัศน์ ดีวีดี หรือแผ่นวีดีทัศน์ระบบดิจิทัลเฉพาะที่เกี่ยวกับการบันเทิง
- การขายอัญมณี หรือเครื่องประดับซึ่งประดับด้วยอัญมณี

- การซื้อขายสินค้าหรือบริการ โดยใช้วิธีการใช้สื่อ

- การบริการอินเตอร์เน็ต

- การให้เช่าพื้นที่ของเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย

- การบริการเป็นตลาดกลางในการซื้อขายสินค้า หรือบริการ โดยวิธีใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ

เครือข่ายอินเตอร์เน็ต

- การผลิต รับจ้างผลิต แผ่นซีดี แถบบันทึก วีดีทัศน์แผ่นวีดีทัศน์ ดีวีดี หรือ แผ่นดิจิทัลเฉพาะที่เกี่ยวกับการบันเทิง

- การให้บริการเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อใช้อินเตอร์เน็ต

- การให้บริการฟังเพลงและร้องเพลงโดยคาราโอเกะ

- การให้บริการเครื่องเล่นเกมส์

- การให้บริการตู้เพลง

- โรงงานแปรสภาพ แกะสลักและการทำหัตถกรรมจากงาช้าง การค้าปลีก การค้าส่งงาช้าง และผลิตภัณฑ์จากงาช้าง

4. การยื่นจดทะเบียนพาณิชย์ การจดทะเบียนตั้งใหม่มีเอกสารดังนี้
(1) คำขอจดทะเบียน(แบบ ทพ.)

(2) หลักฐานประกอบคำขอ

- สำเนาบัตรประจำตัวของเจ้าของกิจการหรือหุ้นส่วนผู้จัดการ หรือผู้รับผิดชอบในการประกอบกิจการ
ในประเทศในกรณีเป็นนิติบุคคลต่างประเทศ

- สำเนาเอกสารแสดงการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลในต่างประเทศ หนังสือแต่งตั้งผู้รับผิดชอบดำเนินการในประเทศ ใบอนุญาตทำงานในกรณีเป็นนิติบุคคลต่างประเทศ

- หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามี)

การจดทะเบียนเลิก มีเอกสารดังนี้

(1) คำขอจดทะเบียน(แบบ ทพ.)

(2) หลักฐานประกอบคำขอ

- สำเนาบัตรประจำตัวของเจ้าของกิจการหรือหุ้นส่วนผู้จัดการ หรือผู้รับผิดชอบในการประกอบกิจการในประเทศ ในกรณีเป็นนิติบุคคลต่างประเทศ

- ใบทะเบียนพาณิชย์หรือใบแจ้งความกรณีใบทะเบียนพาณิชย์สูญหาย

- หนังสือรับฝากบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีในกรณีที่มีหน้าที่จัดทำบัญชี

- สำเนาเอกสารสั่งการให้เลิกประกอบกิจการในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการถึงแก่กรรม
- หนังสือมอบอำนาจ(ถ้ามี)

การจดทะเบียนเปลี่ยนแปลง มีเอกสารดังนี้

(1) คำขอจดทะเบียน(แบบ ทพ.)
(2) หลักฐานประกอบคำขอ

- สำเนาบัตรประจำตัวของเจ้าของกิจการหรือหุ้นส่วนผู้จัดการ หรือผู้รับผิดชอบในการประกอบกิจการในประเทศ ในกรณีเป็นนิติบุคคลต่างประเทศ

- ใบทะเบียนพาณิชย์หรือใบแจ้งความกรณีใบทะเบียนพาณิชย์สูญหาย

- สำเนาหลักฐานอื่นแล้วแต่กรณี เช่น ใบสำคัญ การสมรส ใบสำคัญการเปลี่ยนชื่อตัว และสกุล เป็นต้น

- หนังสือแต่งตั้งผู้รับผิดชอบดำเนินการในประเทศหรือหลักฐานการเปลี่ยนแปลงกรรมการ ในกรณีเปลี่ยนแปลงผู้รับผิดชอบดำเนินการในประเทศหรือกรรมการ

- หนังสือมอบอำนาจ(ถ้ามี)

5. รายการที่ต้องจดทะเบียนเปลี่ยนแปลง

- เลิกชนิดประกอบกิจการบางส่วนและ / หรือเพิ่มใหม่

- เปลี่ยนชื่อที่ใช้ในการประกอบกิจการ

- ย้ายสำนักงานใหม่

- เปลี่ยนผู้จัดการ

- เจ้าของหรือผู้จัดการย้ายที่อยู่

- เพิ่มหรือลดเงินทุน

- ย้าย เลิก หรือเพิ่มสาขาโรงเก็บสินค้า หรือตัวแทนค้าต่าง

- อื่นๆ เช่นเจ้าของหรือผู้จัดการเปลี่ยนชื่อตัวหรือชื่อสกุลหรือรายการที่จดทะเบียนไว้ไม่ตรงตามข้อเท็จจริง

หมายเหตุ

1. ต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันเริ่มประกอบกิจการ หรือวันที่มีการเปลี่ยนแปลง หรือวันเลิกประกอบกิจการ

2. กรณีแจ้งเลิกเพราะเหตุผู้ประกอบกิจการถึงแก่กรรมให้ลงชื่อโดยทายาทคนใดคนหนึ่งหรือผู้จัดการมรดก หรือผู้รับมอบอำนาจจากทายาท

6. ค่าธรรมเนียม

- ตั้งใหม่ 50 บาท

- เปลี่ยนแปลง ครั้งละ 20 บาท

- เลิก 20 บาท

- ออกใบแทนใบทะเบียนพาณิชย์ ฉบับละ 30 บาท

- ตรวจเอกสาร ครั้งละ 20บาท

- คัดสำเนาและรับรองสำเนา ฉบับละ 30บาท

7. พาณิชยกิจบางอย่างที่ได้รับการยกเว้น ไม่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ คือ

- การรับเหมาก่อสร้าง

- การรับจ้างแรงงานทั่วไป

- รับซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด

- รับจ้างบรรทุกของโดยรถยนต์

- รับจ้างซ่อมรถยนต์ ล้าง อัด ฉีด เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องต่างๆ

- รับจ้างอื่นๆ ซึ่งเป็นการให้บริการและยังไม่ได้กำหนดโดย พระราชกฤษฎีกาให้เป็นพาณิชยกิจ

- รวมทั้ง ร.ม.ต. กระทรวงพาณิชย์ยังไม่ได้ประกาศในพระราชกิจจานุเบกษาให้เป็นพาณิชยกิจ

* ผู้ประกอบการดังกล่าวข้างต้น จึงไม่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์

 

ที่มา..http://www.abjsongkhla.go.th/th/v2/borikarn.php?pid=5

ส่งออกบริการกับปัญหาทางภาษีอากร

การให้ บริการในราชอาณาจักรและได้มีการใช้บริการนั้นในต่างประเทศ ถือได้ว่าเป็นการให้บริการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร และถ้าการให้บริการดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นการส่งออกบริการตามมาตรา 80/1(2) แห่งประมวลรัษฎากร ก็จะได้รับสิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ที่กำหนดไว้ในข้อ 2(1) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 105) เรื่อง กำหนดประเภทหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข กรณีการให้บริการที่กระทำในราชอาณาจักรและได้มีการใช้บริการนั้นในต่าง ประเทศตามมาตรา 80/1(2) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2543 สาระสำคัญคือ การให้บริการที่กระทำในราชอาณาจักรและได้มีการใช้บริการนั้นในต่างประเทศที่ จะได้รับสิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 นั้น จะต้องเป็นกรณี "การให้บริการที่กระทำในราชอาณาจักรแก่ผู้รับบริการในต่างประเทศ และได้ส่งผลของการให้บริการนั้นไปใช้ในต่างประเทศทั้งหมด" เท่านั้น แต่ในทางปฏิบัตินั้นมักเกิดปัญหาขึ้นระหว่าง เจ้าพนักงานประเมินกับผู้ประกอบการที่มี หน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ในประเด็นการส่งออกบริการที่จะได้รับสิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มใน อัตราร้อยละ 0 ตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ดังประเด็นปัญหาที่ได้สรุปเป็นกรณี ดังนี้

กรณีที่ 1 การส่งผลของการให้บริการไปใช้ในต่างประเทศทั้งหมดนั้นมีขอบเขตเพียงใด ซึ่งมีปัญหาเกี่ยวกับการตีความและมีผลกฎหมาย อย่างไร

กรณีที่ 2 ในการนำกฎหมายไปปรับใช้โดยเฉพาะกรณีที่การให้บริการในราชอาณาจักรแก่ผู้รับ บริการในต่างประเทศ และได้ส่งผลของการให้บริการนั้นไปใช้ในต่างประเทศทั้งหมด หากพิจารณาได้ว่าเป็นการส่งออกบริการที่จะได้รับสิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มใน อัตราร้อยละ 0 แล้ว จะต้องใช้หลักฐานอะไรบ้าง ในการนำมาแสดงต่อเจ้าพนักงานประเมินว่าได้มีการส่งผลของการให้บริการไปใช้ใน ต่างประเทศทั้งหมด

เนื่อง จากภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีที่จัดเก็บจากการบริโภค ผู้ที่รับภาระภาษีขั้นสุดท้าย ได้แก่ผู้บริโภค โดยที่ภาษีมูลค่าเพิ่มจัดเก็บจากกิจการ 3 ประเภท คือการขายสินค้าในราช-อาณาจักร การให้บริการในราชอาณาจักรและการนำเข้า ทั้งนี้ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร

บท ความนี้จึงขอนำเสนอเรื่องของการให้บริการในราชอาณาจักรและใช้บริการนั้นใน ต่างประเทศหรือการ "ส่งออกบริการ" และเพื่อให้เกิดความเข้าใจเนื้อหาในภาพรวมที่เกี่ยวข้องกับภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้เขียนจึงลำดับหัวข้อการนำเสนอดังนี้

1. หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

2. แนววินิจฉัยของกรมสรรพากร

3. ประเด็นปัญหาและบทวิเคราะห์

4. บทสรุป

1. หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

1.1 ประมวลรัษฎากร

มาตรา 77/1(10) "บริการ" หมายความว่า การกระทำใดๆ อันอาจหาประโยชน์อันมีมูลค่า ซึ่งมิใช่เป็นการขายสินค้า และให้หมายความ รวมถึงการใช้บริการของตนเองไม่ว่าประการใดๆ แต่ทั้งนี้ไม่รวมถึง

(ก) การใช้บริการหรือการนำสินค้าไปใช้เพื่อประกอบกิจการของตนเองโดยตรงตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด1

(ข) การนำเงินไปหาประโยชน์โดยการฝากธนาคารหรือซื้อพันธบัตรหรือหลักทรัพย์2

(ค) การกระทำตามที่อธิบดีกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรี3

มาตรา 80/1 ให้ใช้อัตราภาษีร้อยละ 0 ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการประกอบกิจการประเภทต่างๆ ดังต่อไปนี้

(1) .....

(2) การให้บริการที่กระทำในราชอาณาจักรและได้มีการใช้บริการนั้นในต่างประเทศตามประเภท หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด4

..................................................

1.2 ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้แก่ ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 105) เรื่อง กำหนดประเภท หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขกรณีการให้บริการที่กระทำในราชอาณา- จักรและได้มีการใช้บริการนั้นในต่างประเทศ ตามมาตรา 80/1(2) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2543

....................................................

ข้อ 2 กำหนดให้การประกอบกิจการ ดังต่อไปนี้ เป็นการให้บริการที่กระทำในราชอาณาจักรและได้มีการใช้บริการนั้นในต่าง ประเทศ ตามมาตรา 80/1(2) แห่งประมวลรัษฎากร

(1) การให้บริการที่กระทำในราชอาณาจักรแก่ผู้รับบริการในต่างประเทศและได้ส่งผลของการให้บริการนั้นไปใช้ในต่างประเทศทั้งหมด

การ ให้บริการตามวรรคหนึ่ง หมายความว่า การกระทำใดๆ อันอาจหาประโยชน์อันมีมูลค่าซึ่งมิใช่เป็นการขายสินค้า แต่ไม่รวมถึงการให้บริการจัดนำเที่ยวใน ต่างประเทศ

ข้อ 3 การประกอบกิจการตามข้อ 2 ต้องมีหลักฐานแสดงการชำระราคาค่าบริการตามใบแจ้งหนี้ (Invoice) ในนามของผู้ประกอบการจดทะเบียน เช่น หลักฐานการเปิด L/C (Letter of Credit) หลักฐานการจัดทำ T/T (Telex Transfer) หรือ T/P (Term of Payment) เอกสารใบเสร็จรับเงิน หลักฐานการรับชำระเงินตาม L/C (Letter of Credit) หรือ Bank Statement เอกสารที่ระบุว่านำเงิน เข้าบัญชีธนาคารโดยใช้สมุดคู่ฝาก เอกสารการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารโดยไม่มีสมุดคู่ฝาก หลักฐานการรับชำระเงินตามบัตรเครดิต การใช้ E-money หรือ E-cash เว้นแต่ กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนให้บริการโดยไม่มีค่าตอบแทนก็ไม่จำต้องมีหลักฐาน แสดงการชำระราคาค่าบริการ

1.3 ความรู้พื้นฐานเรื่องการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการให้บริการ

โดย เหตุที่ภาษีมูลค่าเพิ่มมีหลักการจัดเก็บจากการขายสินค้าหรือการให้บริการ ตลอดจนการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร ฉะนั้น การที่จะถือว่าผู้ประกอบการหรือผู้นำเข้าได้ขายสินค้าหรือให้บริการเมื่อใด หรือได้มีการนำเข้าเกิดขึ้นเมื่อใด จึงเป็นปัญหาสำคัญและเป็นสิ่งจำเป็นที่กฎหมายจะต้องกำหนดให้ชัดเจนแน่นอน เพื่อให้มีการเสียภาษีขาย ออกใบกำกับภาษี หรือให้มีการปฏิบัติหน้าที่ใดๆ เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่มต่อไป

สำหรับ การให้บริการในราชอาณาจักร โดยผู้ประกอบการเป็นกิจการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และโดยที่บทบัญญัติมาตรา 77/1(10) แห่งประมวลรัษฎากร ได้กำหนดนิยามของคำว่า "บริการ" ไว้ว่า

"บริการ" หมายความว่า การกระทำใดๆ อันอาจหาประโยชน์อันมีมูลค่าซึ่งมิใช่เป็นการขายสินค้า..."

ความ หมายของคำว่า "บริการ" มีความหมายค่อนข้างกว้าง กล่าวโดยนัยที่จะทำความเข้าใจให้ง่ายยิ่งขึ้น ก็คือการกระทำที่ไม่เข้าลักษณะเป็นการ "ขาย" สินค้า จะถือเป็นการให้บริการ หากการกระทำนั้นๆ เป็นการกระทำอันอาจหาประโยชน์อันมีมูลค่า เช่น การให้เช่ารถ ให้เช่าเรือ บริการทางด่วน การให้ใช้ลิขสิทธิ์ การให้สัมปทาน การรับจ้างทำของ การเป็นนายหน้า การรับจ้างพิมพ์ เป็นต้น5

การประกอบธุรกิจให้บริการของผู้ประ-กอบการ อาจมีทั้งการให้บริการในราชอาณาจักรและการให้บริการนอกราชอาณาจักร แต่การ ให้บริการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น ต้องเป็นการให้บริการในราชอาณาจักร โดย รายได้จากการให้บริการของผู้ประกอบการที่จะต้องนำมาเสียภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น ต้องพิจารณาด้วยว่าเป็นรายได้ที่เกิดจากการให้บริการใน ราชอาณาจักรหรือไม่ ซึ่งมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากรได้ให้ความหมายของการให้บริการในราชอาณาจักรหมายถึง บริการที่ทำ ในราชอาณาจักรโดยไม่คำนึงว่าการใช้บริการนั้น จะอยู่ในต่างประเทศหรือในราชอาณาจักร และนอกจากนี้ หากเป็นการให้บริการที่ทำในต่างประเทศและได้มีการใช้บริการนั้นในราช -อาณาจักร ให้ถือว่าการให้บริการนั้นเป็นการให้บริการในราชอาณาจักร

ดัง นั้น ในการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากรายได้ค่าบริการ จึงพิจารณาก่อนว่า ต้องเป็นการให้บริการในราชอาณาจักรตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร ส่วนการที่จะพิจารณาว่า การให้บริการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราเท่าใดนั้น ให้พิจารณาอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจากอัตราร้อยละ 0 ก่อน ซึ่งหากกิจการใดไม่อยู่ในข่ายที่จะได้รับสิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา ร้อยละ 0 ก็ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามอัตราทั่วไป6 และอาจแบ่งลักษณะของการให้บริการในราชอาณาจักรได้ 3 กรณี ดังนี้

กรณีที่ 1 การให้บริการในราชอาณาจักร และมีการใช้บริการในราชอาณาจักร

การ ให้บริการในราชอาณาจักรและมีการใช้บริการในราชอาณาจักร อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร กฎหมายบังคับจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 ตามมาตรา 80 แห่งประมวลรัษฎากร โดยผู้ให้บริการมีหน้าที่เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้รับบริการในอัตรา ร้อยละ 7.0 เมื่อความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น

กรณีที่ 2 การให้บริการในต่างประเทศและใช้บริการในราชอาณาจักร

การ ให้บริการที่ได้กระทำขึ้นในต่างประเทศ แต่ได้มีการนำบริการนั้นมาใช้ในประเทศ ให้ถือว่าการให้บริการดังกล่าวเป็นการให้บริการในราชอาณาจักร ตามมาตรา 77/2 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม กฎหมายบังคับจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 ตามมาตรา 80 แห่งประมวลรัษฎากร โดยกำหนดให้ผู้จ่ายเงินค่าบริการเป็นผู้นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบ การต่างประเทศมีหน้าที่ต้องเสีย ตามมาตรา 83/6(2) แห่งประมวลรัษฎากร

ที่มา..http://www.sanpakornsarn.com/page_article_detail.php?aID=175

ภาษีเงินได้ชาวต่างชาติ

ทุกวันนี้มีชาวต่างชาติมากมายที่ทำมาหากินอยู่ในเมืองไทย และอีกเช่นกันที่ผู้เขียนมักถูกถามบ่อยครั้งเกี่ยวกับภาษีเงินได้ของชาวต่าง ชาติว่า เสียภาษีหรือไม่ อย่างไร ซึ่งคนโดยทั่วไปมักเข้าใจว่า หากชาวต่างชาติอาศัยอยู่ในเมืองไทยไม่ถึง 180 วันในปีนั้น ไม่ต้องเสียภาษี

ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่าประเทศไทย จัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาโดยใช้หลักแหล่งเงินได้และหลักถิ่นที่อยู่ ตามนัยมาตรา 41 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งสรุปได้ดังนี้

หลักแหล่งเงินได้มาจาก 4 แหล่งใหญ่ คือ

1.เงินได้จากงานที่ทำในประเทศไทย* โดยผู้มีเงินได้ปฏิบัติงานในประเทศไทย เช่น บริษัทในอเมริกา ส่ง นาย A ซึ่งเป็นพนักงานเข้ามาปฏิบัติงานในไทย นาย A ต้องนำเงินเดือนค่าจ้างที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ปฏิบัติงานในไทยมายื่นแบบ เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย

อย่างไรก็ตาม นาย A อาจจะไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในประเทศไทย หากเข้าหลักเกณฑ์เงื่อนไขยกเว้นภาษีตามอนุสัญญาภาษีซ้อน

2.เงินได้จากกิจการที่ทำในประเทศไทย* เช่น นายเอกเปิดร้าน ขายอาหารในประเทศไทย นายเอกต้องนำเงินได้ที่เกิดขึ้นมายื่นเเบบเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

3.เงินได้จากกิจการนายจ้างในไทย* ผู้รับเงินได้อาจจะปฏิบัติงานอยู่ในประเทศไทยหรือต่างประเทศก็ได้ เช่น บริษัท ข. จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทตามกฎหมายไทย ได้ส่ง นายเอก ซึ่งเป็นพนักงานของบริษัท ไปปฏิบัติงาน ณ สาขาของบริษัทที่ประเทศฝรั่งเศส โดยบริษัท ข. จำกัด เป็นผู้จ่ายเงินได้ให้ทุกเดือน นายเอกพนักงานต้องนำเงินได้มายื่นแบบเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในประเทศไทย

4.เงินได้จากทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย* กรณีนี้เป็นเรื่องของเงินได้ที่เกิดขึ้นจากทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย ไม่ว่าเจ้าของทรัพย์สินนั้นจะเป็นชาวไทยหรือชาวต่างชาติ เช่น ค่าเช่าบ้าน ดอกเบี้ยเงินฝาก เงินปันผล เป็นต้น

ดังนั้น บุคคลใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นชาวไทยหรือชาวต่างชาติ หากมีเงินได้จากแหล่งเงินได้ข้างต้น ผู้มีเงินได้นั้นต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในประเทศไทย ไม่ว่าเงินได้นั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศ และจะได้อาศัยอยู่ในประเทศไทยหรือไม่ก็ตาม กฎหมายบังคับให้จัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้ที่เกิดขึ้นนั้น

หลักถิ่นที่อยู่ จะเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเมื่อครบเงื่อนไข 3 ข้อ คือ

1.ผู้มีเงินได้มีเงินได้จากงานที่ทำในต่างประเทศหรือจากกิจการ ที่ทำในต่างประเทศ หรือจากทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ

2.ได้นำเงินได้ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีนั้น และ

3.ผู้มีเงินได้นั้นอยู่อาศัยในประเทศไทยถึง 180 วัน

ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นชาวไทยหรือชาวต่างชาติก็ตาม หากมีเงินได้ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ โดยได้นำเงินได้ที่เกิดขึ้นเข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีนั้น และได้อาศัยอยู่ในเมืองไทยถึง 180 วัน ก็ต้องนำเงินนั้นมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามปกติ กรณีที่ไม่ครบเงื่อนไขทั้ง 3 ข้อที่กล่าวมา ผู้มีเงินได้นั้นก็ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแต่อย่างใด

ได้มีผู้จ่ายเงินได้ในประเทศไทยเป็น จำนวนมาก เมื่อจ่ายเงินได้ ให้ชาวต่างชาติ เข้าใจผิดคิดว่าชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยไม่ถึง 180 วัน ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือไม่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ซึ่งแท้จริงแล้วถ้าเป็นกรณีแหล่งเงินได้ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ชาวต่างชาติผู้รับเงินได้จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในประเทศไทย เว้นแต่จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ตามอนุสัญญาภาษีซ้อนที่ประเทศไทยได้ทำ ไว้กับประเทศที่ผู้มีเงินได้ มีถิ่นที่อยู่เท่านั้น

ผู้มีเงินได้ที่มีหน้าที่เสียภาษี เงินได้บุคคลธรรมดาหรือผู้จ่ายเงินได้ ให้แก่ชาวต่างชาติที่มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย คงนำไปใช้ประโยชน์เพื่อจะได้ปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง หากสงสัยหรือไม่เข้าใจก็สอบถามเจ้าหน้าที่หรือเข้าดูข้อมูลได้ที่ www.rd.go.th

 

ที่มา : http://www.posttoday.com/finance.php?id=5212

ความรู้เรื่อง ภงด 51 ภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี

สรุป ภงด.51 ภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี ปีแรกที่ตั้งบริษัทไม่ต้องยื่นแบบ เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วรอบบัญชีไม่เต็ม 12 เดือน เช่น เปิดบริษัทวันที่ 10 กพ. ถ้าปิดงบวันที่ 31 ธค. ก็ไม่ต้องยื่นแบบ ภงด.51 หรือถึงแม้ว่าจะปิดงบในวันที่ 31 มค.ของปีถัดไป รอบบัญชีก็ไม่เต็ม 12 เดือนอยู่ดี เว้นแต่ว่าจะปิดงบในวันที่ 9 กพ.ของปีถัดไป ซึ่งจะทำให้รอบบัญชีครบ 12 เดือนพอดี อย่างนี้ก็ต้องยื่นเสียภาษี ภงด.51 กลางปีด้วย

บริษัทหรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสุทธิถูก กำหนดให้ต้องยื่นแบบแสดงรายการ 2 ครั้งต่อรอบระยะเวลาบัญชี คือ
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปีตามแบบ ภ.ง.ด.51 ภายใน 2 เดือน นับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาหกเดือนนับแต่วันแรกของรอบระยะเวลาบัญชี และภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำรอบระยะเวลาบัญชี ตามแบบ ภ.ง.ด.50 ที่ต้องยื่นแบบและชำระภาษีเงินได้ภายใน 150 วัน นับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี สำหรับการยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคลครึ่งปี (ภ.ง.ด.51) ได้เริ่มมีขึ้นตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีปี 2523 เป็นต้นมา โดยในช่วงต้นกำหนดให้เสียจากประมาณการกำไรสุทธิแต่เพียงอย่างเดียว ต่อมาได้มีการกำหนดให้เสียจากกำไรสุทธิที่เกิดขึ้นจริงในครึ่งแรกของรอบระยะ เวลาบัญชี จึงขอนำประเด็นหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปีมาเป็นประเด็นปุจฉา -วิสัชนา ดังนี้
ปุจฉา ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี
วิสัชนา ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี ได้แก่ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก ฐานกำไรสุทธิเท่านั้น ประกอบด้วย
1. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
2. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ และเข้ามาประกอบกิจการในประเทศไทยเพียงแห่งเดียว หรือเข้ามาประกอบกิจการในประเทศไทยในรูปของสาขา โดยกิจการที่กระทำนั้นมิใช่กิจการขนส่งระหว่างประเทศ
3. กิจการที่ดำเนินเป็นทางค้าหรือหากำไรโดยรัฐบาลต่างประเทศ องค์การของรัฐบาลต่างประเทศ หรือนิติบุคคลอื่นที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ และเข้ามาประกอบกิจการในประเทศไทยเพียงแห่งเดียว หรือเข้ามาประกอบกิจการในประเทศไทยในรูปของสาขา โดยกิจการที่กระทำนั้นมิใช่กิจการขนส่งระหว่างประเทศ
4. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ หรือกิจการที่ดำเนินเป็นทางค้าหรือหากำไรโดยรัฐบาลต่างประเทศ องค์การของรัฐบาลต่างประเทศ หรือนิติบุคคลอื่นที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ และเข้ามาประกอบกิจการในประเทศไทย โดยมีลูกจ้าง ผู้ทำการแทน หรือผู้ทำการติดต่อในการประกอบกิจการในประเทศไทย ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทย โดยกิจการที่กระทำนั้นมิใช่กิจการขนส่งระหว่างประเทศ
5. กิจการร่วมค้า ได้แก่ กิจการที่ดำเนินร่วมกันเป็นทางค้าหรือหากำไรระหว่างบริษัทกับบริษัท บริษัทกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล บริษัทและหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับบุคคลธรรมดา คณะบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น
อนึ่ง สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีเงิน ได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลาตามที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกำหนด ในช่วงเวลาที่ได้รับยกเว้นให้ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลดังกล่าว บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลยังคงมีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษี เงินได้นิติบุคคลครึ่งปี (ภ.ง.ด.51) ตามปกติ เช่นเดียวกับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ไม่ได้รับการส่งเสริมการลง ทุน เพราะการได้รับการส่งเสริมการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน เป็นแต่เพียงการได้รับสิทธิประโยชน์ให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล เท่านั้น สำหรับหน้าที่ต่างๆ ตามที่กฎหมายกำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต้องจัดทำโดยทั่วไป ก็ยังคงต้องดำเนินการ อาทิเช่น การยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคล
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก ฐานอื่น เช่น บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศที่ประกอบกิจการสายการบินหรือสาย การเดินเรือ ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากฐานรายได้ก่อนหักรายจ่ายใดๆ จากการประกอบกิจการขนส่งระหว่างประเทศไม่มีหน้าที่ยื่นแบบ ภ.ง.ด. 51
ปุจฉา รอบระยะเวลาบัญชีในกรณีใดบ้างที่ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.51
วิสัชนา รอบระยะเวลาบัญชีที่ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี ได้แก่
1. รอบระยะเวลาบัญชีที่มีกำหนดเวลา 12 เดือน ประกอบด้วย รอบระยะเวลาบัญชีแรกเฉพาะกรณีที่มีกำหนดเวลา 12 เดือน รอบระยะเวลาบัญชีที่ดำเนินกิจการมาเป็นปกติ และรอบระยะเวลาสุดท้ายเฉพาะกรณีที่มีกำหนดเวลา 12 เดือน
2. รอบระยะเวลาบัญชีที่ได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากร ให้เปลี่ยนแปลงวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี ซึ่งมีกำหนดเวลาเกินกว่า 6 เดือน
ปุจฉา รอบระยะเวลาบัญชีในกรณีใดบ้างที่ไม่ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.51
วิสัชนา กรณีดังต่อไปนี้ ไม่ต้องยื่นแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด.51 เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี
1. กรณีรอบระยะเวลาบัญชีปีแรกที่มีกำหนดเวลาไม่ถึง 12 เดือน
2. กรณีรอบระยะเวลาบัญชีปีสุดท้ายมีกำหนดเวลาไม่ถึง 12 เดือน
3. สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากร ให้เปลี่ยนแปลงวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี โดยรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าวมีกำหนดเวลาไม่เกิน 6 เดือน
ปุจฉา การเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปีมีกี่วิธีอะไรบ้าง
วิสัชนา ในปัจจุบันการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี แบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ
1. การเสียจากประมาณการกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ ที่ได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำ และจะได้กระทำในรอบระยะเวลาบัญชี สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลทั่วไป
2. การเสียจากกำไรสุทธิที่ได้จากกิจการ หรือเนื่องจากกิจการในช่วงเวลา 6 เดือนแรกของรอบระยะเวลาบัญชี สำหรับบริษัทจดทะเบียน ธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ หรือเครดิตฟองซิเอร์ และบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จัดให้มีผู้สอบทานงบการเงินสำหรับรอบ ระยะเวลา 6 เดือนแรกของรอบระยะเวลาบัญชี ทั้งนี้ สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 26 พ.ย. 34 เป็นต้นมา

ที่มา..www.bangkokbiznews.com

ไขปัญหาภาษี: สุเทพ พงษ์พิทักษ์