จดทะเบียนบริษัท ราคาพิเศษ

สำนักงานบัญชี รับจดทะเบียนในราคาพิเศษ โดยมีรายละเอียดบริการดังนี้
  1. ให้บริการจองชื่อนิติบุคคล
  2. บริการจัดเตรียมแบบฟอร์มจดทะเบียน
  3. บริการจดทะเบียนจัดตั้งบริคณห์สนธิและจัดตั้งบริษัท
  4. ขอมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของบริษัท (ปัจจุบันยกเลิกแล้วให้ใช้เลขทะเบียนนิติบุคคลแทน)
  5. ขอมีเลขที่บัญชีนายจ้างประกันสังคม (ขึ้นทะเบียนผ่านกระทรวงพาณิชย์)
  6. จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ทางอินเทอร์เน็ต (โดยกรมสรรพากรจะแจ้งผลการพิจารณาให้ทราบทาง e-Mail และทางอินเทอร์เน็ตภายใน 15 วันนับจากวันที่ยื่นคำขอ)
เอกสารที่ต้องจัดเตรียมในการจดทะเบียนบริษัท ได้แก่
  1. สำเนาบัตรประชาชนของผู้ร่วมก่อตั้งทุกคน (จดบริษัทต้องมีอย่างน้อย 3 คน จดห้างหุ้นส่วนต้องมีอย่างน้อย 2 คน
  2. ข้อมูลเพิ่มเติมของผู้ร่วมก่อตั้ง ได้แก่ อาชีพ เบอร์โทรศัพท์
  3. สำเนาทะเบียนบ้านที่ตั้งกิจการ
  4. แผนที่ตั้งกิจการ (ระบุสถานที่สำคัญใกล้เคียง)
  5. วัตถุประสงค์ในการจัดตั้ง (ประกอบธุรกิจอะไร)
  6. กำหนดรูปแบบตรายาง
  7. ระบุว่าใครเป็นกรรมการ และกำหนดอำนาจกรรมการ เช่น ลงนามคนเดียว ลงนามร่วมกัน
  8. ทุนจดทะเบียนเท่าไหร่ ชำระเต็มจำนวน หรือชำระขั้นต่ำตามกฎหมาย (อย่างน้อย 25%)
  9. ผู้ถือหุ้นแต่ละคน ลงทุนคนละเท่าไหร่
  10. แบบแจ้งผลการจองชื่อ (ถ้ายังไม่มี ให้แจ้งชื่อภาษาไทยและภาษาอังกฤษ มาอย่างละ 3 ชื่อ)
เอกสารที่ต้องใช้ในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (กรณีจดทางอินเตอร์เน็ตไม่ต้องเตรียมเอกสารให้)
  1. แบบ ภพ.01 และ ภพ.01.1
  2. รูปถ่ายสถานประกอบการ จำนวน 2 ใบ
  3. แผนที่ตั้งของกิจการ จำนวน 2 ใบ
  4. สำเนาบัตรประจำตัวผู้เสียภาษี
  5. หนังสือมอบอำนาจ (ติดอากร 30 บาท)
  6. สำเนาบัตรประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ
  7. หนังสือยินยอมให้ใช้สถานที่ (เจ้าบ้าน) หรือสัญญาเช่า (ต้องติดอากร)
  8. สำเนาบัตรประชานและสำเนาทะเบียนของผู้เป็นเจ้าบ้าน
  9. สำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนของหุ้นส่วนผู้จัดการ
  10. สำเนาหนังสือรับรองพร้อมวัตถุประสงค์
แบบสอบถามเพื่อเป็นข้อมูลในการจดทะเบียนบริษัท จดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด
ปัญหาที่พบในการจดทะเบียนบริษัท / จดทะเบียนห้างหุ้นส่วน ได้แก่

1. บัตรประชาชนไม่ชัดเจน
  • ภาพถ่ายบนบัตรดำ มองเห็นหน้าไม่ชัด
  • วันออกบัตร วันหมดอายุบัตร อ่านไม่ออก ไม่รู้ว่าบัตรหมดอายุหรือยัง
  • ชื่อ ที่อยู่บนบัตร อ่านไม่ออก ไม่สามารถตรวจสอบชื่อและที่อยู่ได้
  • ถ่ายบัตรประชาชนมาด้านเดียว ด้านหลังบัตรไม่ถ่ายมา
2. ตรายางบริษัท
  • กรณีจดทะเบียนบริษัท ถ้าระบุชื่อบริษัท ต้องมีคำว่า บริษัท …. จำกัด (ห้ามย่อ) หรือ CO., LTD. ต่อท้าย (ภาษาอังกฤษย่อแบบนี้ได้)
  • กรณีจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด ถ้าระบุชื่อห้างหุ้นส่วน ต้องมีคำว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัด (ห้ามย่อ) หรือ LIMITED PARTNERSHIP (ห้ามย่อ)
  • ตรายางจะเป็นรูปภาพ หรือตัวย่อก็ได้ เช่น Kiatchai Accounting จะย่อเป็น KA ก็ได้
  • กรณีชื่อบริษัทเป็นตัวย่ออยู่แล้วจะไม่สามารถทำตรายางได้ เช่น KA Business จะใช้ตัวย่อ KA ไม่ได้แล้ว เพราะถือเป็นส่วนหนึ่งของชื่อไปแล้ว
3. ทุนจดทะเบียน
  • กฎหมายไม่ได้กำหนดจำนวนต่ำสุด หรือจำนวนสูงสุดไว้ ทุนจดทะเบียนจะเป็นเท่าไหร่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจ เช่น เปิดโรงงาน แบบนี้ทุนจดทะเบียนก็ต้องมากหน่อย เนื่องจากต้องนำเงินไปลงทุนซื้อเครื่องจักร แต่ถ้าเป็นธุรกิจให้คำปรึกษา แบบนี้ทุนจดทะเบียนไม่จำเป็นต้องมาก จะจดที่ 10,000 บาท หรือ 100,000 บาท ก็ได้
  • ทุนจดทะเบียนสามารถชำระบางส่วนได้ แต่ต้องไม่น้อยกว่า 25% กรณีชำระค่าหุ้นไม่ครบ ผู้ถือหุ้นยังคงติดเงินบริษัทอยู่ ถือเป็นลูกหนี้ค่าหุ้น

สอบถามบริการ / ขอคำปรึกษา ได้ที่
  • คุณเกียรติชัย Tel. 089-890-2929 (ตลอดเวลา)
email - kiatchai-hotmail

ให้บริการจดทะเบียนบริษัท สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี กรุงเทพมหานคร

แท็กของ Technorati: {กลุ่มแท็ก}

ฝากคำถามภาษีอากร-บัญชี จดทะเบียนบริษัทได้ที่นี่

ฝากคำถามภาษีอากร บัญชี จดทะเบียนบริษัท หรือเรื่องอื่นๆ ได้ที่นี่ หรือฝากคำถามไว้ที่ เว็บบอร์ด

ค่าจ้างจากการรับจ้างเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้แก่ผู้ว่าจ้างในต่างประเทศ ได้รับสิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 หรือไม่

คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 12466/2547

บริษัท ฮ. จำกัด โจทก์

กรมสรรพากร จำเลย

ข้อเท็จจริง

โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการรับจ้างและให้บริการออกแบบระบบประมวลผลโปรแกรมที่ใช้กับ คอมพิวเตอร์ เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2533 โจทก์ทำสัญญา การจ้างงานในการผลิตโปรแกรมกับบริษัทฮีโน่ มอเตอร์ส จำกัด ลูกค้าซึ่งเป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ มีสำนักงานอยู่ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ตามสัญญาการจ้างงานในการผลิตโปรแกรมเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 7 ถึง 10 (คำแปลเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 11 ถึง 15 และ ล.1 แผ่นที่ 95 ถึง 99) โดย มี ข้อสัญญาว่าโปรแกรมที่โจทก์เขียนขึ้นตามสัญญาลูกค้าเป็นผู้กำหนดรูปแบบและ รายละเอียดต่างๆทั้งหมด ค่าจ้างคิดตามจำนวนงานที่ลูกค้าแจ้งในใบสั่งงานซึ่งโจทก์จัดทำเสร็จ กับส่งมอบให้แก่ลูกค้าในต่างประเทศ และลูกค้าได้ลิขสิทธิ์ในโปรแกรมดังกล่าว

โจทก์เขียนโปรแกรมดังกล่าวตามใบสั่ง งานรวม 30 ฉบับ ส่งมอบให้แก่ลูกค้าในต่างประเทศ ออกใบกำกับสินค้าและใบกำกับภาษีให้ลูกค้าในเดือนเมษายน 2539 และยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม ภ.พ.30 สำหรับเดือนเมษายน 2539 โดยในส่วนยอดขายหรือรายรับจากการเขียนโปรแกรม ดังกล่าว จำนวน 2,261,333.63 บาท โจทก์เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 ตามประมวล-รัษฎากร มาตรา 80/1 ส่วนยอดขายหรือรายรับอื่นๆ โจทก์เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7 คำนวณแล้วโจทก์มีภาษีซื้อมากกว่าภาษีขายโจทก์จึงขอคืนภาษีที่ชำระไว้เกิน จำนวน 88,030.10 บาท ตามสำเนาแบบแสดงรายการภาษีมูลค่า-เพิ่ม ภ.พ.30 เอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 355

ต่อมา เจ้าหน้าที่ของจำเลยเห็นว่ายอดขายหรือรายรับจำนวน 2,261,333.63 บาท ดังกล่าว ไม่ใช่กรณีที่จะเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 แต่เป็นค่าแห่งลิขสิทธิ์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40 (3) ซึ่งต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มใน อัตราร้อยละ 7 เจ้าพนักงานประเมินจึงแจ้งการประเมินแก่โจทก์เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2543 ให้โจทก์เสียภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับยอดขายหรือรายรับดังกล่าวเป็นจำนวน 158,293.35 บาท พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มเป็นจำนวนทั้งสิ้น 435,306.00 บาท ตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม ภ.พ.73.1 เอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 20 (ล.2 แผ่นที่ 38) โดยอธิบดีกรมสรรพากรอนุมัติให้เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินได้และเจ้า หน้าที่ของจำเลยมีหนังสือแจ้งไม่คืนเงินภาษีอากรตามหมาย จ.1 แผ่นที่ 22 แจ้งแก่โจทก์ว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับคืนภาษีตาม ที่ขอไว้ในแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม ภ.พ.30 เอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 355

โจทก์อุทธรณ์คัดค้านการประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามคำอุทธรณ์เอกสารหมาย ล.2 แผ่นที่ 34 ถึง 37 คณะ กรรมการพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาแล้วมีคำวินิจฉัยว่า ยอดขายที่โจทก์เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ในอัตราร้อยละ 0 เป็นค่าตอบแทนในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้ลูกค้าในต่างประเทศเป็นค่า แห่งลิขสิทธิ์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(3) ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7 แต่กรณีมีเหตุอันควรผ่อนผันจึงลดเบี้ยปรับลงร้อยละ 50 คงให้โจทก์เสียภาษีพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มรวมจำนวน 356,160.04 บาท ตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์เอกสารหมาย

จ.1 แผ่นที่ 21 (ล.2 แผ่นที่ 8) โจทก์จึงอุทธรณ์ต่อศาลภาษีอากรกลางโดยฟ้องคดีนี้

ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาเพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์

จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

คำวินิจฉัยศาลฎีกา

คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของ จำเลยว่า ยอดขายหรือรายรับของโจทก์ใน เดือนเมษายน 2539 จำนวน 2,261,333.63 บาท ที่โจทก์ได้รับจากบริษัทฮีโน่ มอเตอร์ส จำกัด ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ มีสำนักงานอยู่ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ตามสัญญาการจ้างงานในการผลิตโปรแกรม เอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 7 ถึง 10 (คำแปลเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 11 ถึง 15 และ ล.1 แผ่นที่ 95 ถึง 99) เป็นค่าแห่งลิขสิทธิ์หรือสิทธิอย่างอื่นซึ่งต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ในอัตราร้อยละ 7 ตามการประเมินของเจ้า- พนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือไม่

พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า เงิน ดังกล่าวเป็นค่าตอบแทนที่โจทก์ได้รับจากการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์อาจถือ ได้ว่าเป็นค่าขายเทคโนโลยีหรือค่าใช้เทคโนโลยี หรือเป็นการให้ใช้สิทธิในงานวรรณกรรม จึงถือเป็นค่าแห่ง-ลิขสิทธิ์หรือสิทธิอย่างอื่นตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(3) ไม่เข้าลักษณะการให้บริการที่ เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราภาษีร้อยละ 0 ตามหนังสือตอบข้อหารือที่ กค 0811/พ.1501 ลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2542 นั้น

เห็นว่าแม้งานเขียนโปรแกรม คอมพิวเตอร์ที่โจทก์ทำให้แก่บริษัทฮิโน่มอเตอร์ จำกัด จะเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ซึ่งโจทก์ในฐานะผู้สร้างสรรค์เป็นผู้มีลิขสิทธิ์ใน งานดังกล่าว และอาจโอนลิขสิทธิ์ในงานดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่นได้ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 8 และมาตรา 17 แต่มาตรา 10 ของพระราช-บัญญัติดังกล่าวก็บัญญัติว่า "งานที่ผู้สร้างสรรค์ได้สร้างสรรค์ขึ้นโดยการรับจ้างบุคคลอื่นให้ผู้ว่าจ้างเป็นผู้มีลิขสิทธิ์ในงานนั้น เว้นแต่ผู้สร้างสรรค์และผู้ว่าจ้างจะได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น"

ซึ่งหมายความ ว่า ในกรณีที่งานซึ่งมีลิขสิทธิ์ตามกฎหมายได้ถูกทำขึ้นโดยการว่าจ้างผู้ว่าจ้าง เป็น ผู้มีลิขสิทธิ์ในงานนั้นโดยผลของกฎหมาย ผู้รับจ้างซึ่งเป็นผู้สร้างสรรค์งานนั้นหามีลิขสิทธิ์ในงานนั้นไม่ เว้นแต่จะมีข้อตกลงกันระหว่างผู้ว่าจ้างกับผู้รับจ้างเป็นอย่างอื่น ผู้สร้างสรรค์งานจึงไม่จำต้องเป็นผู้มีลิขสิทธิ์ในงานที่ตนสร้างสรรค์ขึ้น เสมอ ส่วนผู้มีลิขสิทธิ์ก็อาจโดยการเป็นผู้ว่าจ้างไม่ใช่เป็นผู้สร้างสรรค์ด้วยตน เอง หรือไม่ใช่ผู้รับโอนสิทธิ หรือได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิจาก ผู้สร้างสรรค์หรือเจ้าของสิทธิเดิมก็ได้ จำเลย จึงยกเอาเหตุที่สัญญาการจ้างงานในการผลิตโปรแกรมระหว่างโจทก์กับบริษัทฮีโน่ มอเตอร์ส จำกัด ระบุให้บริษัทฮีโน่มอเตอร์ส จำกัด เป็นผู้มีลิขสิทธิ์ในโปรแกรมที่โจทก์เขียนขึ้นเพียงประการเดียวมาเป็นข้อ สรุปว่าสัญญาดังกล่าวเป็นกรณี ที่โจทก์ขายลิขสิทธิ์ในโปรแกรมที่โจทก์เขียนขึ้น ให้แก่บริษัทดังกล่าวหาได้ไม่

สำหรับการใช้อัตราภาษีร้อยละ 0 ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น ประมวลรัษฎากร มาตรา 80/1 บัญญัติว่า "ให้ใช้อัตราภาษีร้อยละ 0 ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการประกอบกิจการประเภทต่างๆ ดังต่อไปนี้

(1) ...

(2) การให้บริการที่กระทำในราชอาณาจักรและได้มีการใช้บริการนั้นในต่างประเทศตามประเภท หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด

การให้บริการ..." และอธิบดีกรมสรรพากรได้กำหนดประเภท หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 15) เรื่องกำหนดประเภท หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข กรณีการให้บริการที่กระทำในราชอาณาจักรและได้มีการใช้บริการในต่างประเทศ ตามมาตรา 80/1 (2) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2534 ความว่า "ข้อ 1 ต้องเป็นการให้บริการรับจ้างทำของให้กับผู้ประกอบการในต่างประเทศ โดยผู้ให้บริการจะต้องกระทำกิจการอันเป็นสาระสำคัญของการรับจ้างทำของใน ประเทศไทยและได้ส่งผลของการให้บริการรับจ้างทำของนั้นไปใช้ในต่างประเทศทั้ง หมด แต่ไม่รวมถึงการให้บริการจัดนำเที่ยวในต่างประเทศ

ข้อ 2 การให้บริการตามข้อ 1 ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ

ข้อ 3 ..."

เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าสัญญา ระหว่างโจทก์กับบริษัทฮีโน่มอเตอร์ส จำกัด ได้ทำ เป็นหนังสือ โปรแกรมที่ผลิตตามสัญญาโจทก์ทำการผลิตในประเทศไทย โดยบริษัทดังกล่าวเป็นผู้กำหนดรูปแบบและรายละเอียดต่างๆ และโจทก์ส่งมอบโปรแกรมที่ผลิตให้แก่บริษัท ดังกล่าวซึ่งเป็นนิติบุคคลที่จดทะเบียนตามกฎหมายของต่างประเทศ มีสำนักงานอยู่ที่ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น กับไม่ปรากฏว่าได้มีการนำโปรแกรมดังกล่าวมาใช้ในประเทศไทย กรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติตามประมวลรัษฎากร มาตรา 80/1(2) และประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 15) เรื่อง กำหนดประเภท หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข กรณีการให้บริการที่กระทำในราชอาณาจักรและได้มีการใช้บริการนั้นในต่าง ประเทศ ตามมาตรา 80/1(2) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2534 จึงต้องใช้อัตราภาษีร้อยละ 0 ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับยอดขายหรือรายรับของโจทก์ที่ได้รับตามสัญญาดังกล่าว สำหรับ บันทึกข้อความตอบข้อหารือที่ กค 0811/พ.1501 ลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2542 เป็น เพียงความเห็นของเจ้าหน้าที่ของจำเลย และ ไม่ปรากฏเหตุผลประกอบความเห็นดังกล่าว แต่อย่างใด จึงรับฟังไม่ได้

ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่ได้นำ สืบพยานหลักฐานให้เห็นว่าโปรแกรมที่โจทก์ผลิตให้แก่บริษัทดังกล่าวไม่ได้มี การนำมาใช้ในประเทศไทยนั้น เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์ส่งมอบโปรแกรมที่ผลิตขึ้นให้แก่บริษัทดัง กล่าวในต่างประเทศ หากมีการนำโปรแกรมดังกล่าวมาใช้ในประเทศไทยย่อมเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะ ต้องนำสืบให้เห็นว่ามีข้อเท็จจริงเช่นว่านั้น หาใช่หน้าที่ของโจทก์ไม่ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะให้โจทก์นำสืบถึงสิ่งที่ไม่มี เมื่อจำเลยไม่นำสืบให้ปรากฏความข้อนี้จึงรับฟังไม่ได้ ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน

ข้อคิดเห็น

อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นตามปกติคือ อัตราร้อยละ 10 (ประมวลรัษฎากร มาตรา 80) แต่ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2542 คือวันที่ 30 กันยายน 2553 มีพระราชกฤษฎีกาหลายฉบับ ลดอัตราเหลือเพียงร้อยละ 7 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2553 เป็นต้นไป ใช้อัตราร้อยละ 10 ตามปกติ เว้นแต่จะมีการขยายระยะเวลาออก ไปอีก อย่างไรก็ดี เพื่อเป็นการส่งเสริมการ ส่งออกจึงมีการใช้อัตราร้อยละ 0 สำหรับการ ส่งออกสินค้าและบริการไปต่างประเทศ (ประมวลรัษฎากร มาตรา 80/1)

การส่งออกบริการนั้นได้แก่ การให้บริการที่กระทำในราชอาณาจักรและได้มีการใช้บริการนั้นในต่างประเทศตาม ประเภท หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด (ประมวลรัษฎากร มาตรา 80/1(2)) ขอให้สังเกตว่าการส่งออกบริการที่ผู้ส่งออกจะได้รับสิทธิ เสียภาษีในอัตราร้อยละ 0 ต้องเป็นการส่งออกบริการตามประเภทที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด ซึ่งตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 15) ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2534 ได้กำหนดให้เฉพาะการรับจ้างทำของเป็นการบริการที่ส่งออกแล้วได้รับสิทธิเสีย ภาษีในอัตราร้อยละ 0 เท่านั้น การส่งออกบริการประเภทอื่น เช่น การที่เจ้าของลิขสิทธิ์ในประเทศไทยอนุญาตให้บริษัทในประเทศอื่นใช้งานอันมี ลิขสิทธิ์ของตนจึงไม่ได้รับสิทธิเสียภาษีในอัตราร้อยละ 0

คดีนี้โจทก์รับจ้างเขียนโปรแกรม คอมพิวเตอร์ให้แก่บริษัท ฮ. ซึ่งเป็นนิติบุคคล ที่จดทะเบียนในประเทศญี่ปุ่นและมีสำนักงานอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยไม่มีข้อตกลงว่างานอันมีลิขสิทธิ์ดังกล่าวให้ตกเป็นของโจทก์ซึ่งเป็น ผู้สร้างสรรค์ แต่อนุญาตให้ใช้บริษัท ฮ. ใช้งานอันมีลิขสิทธิ์ดังกล่าวจึงตกเป็นของบริษัท ฮ. ผู้ว่าจ้างตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 10 ที่บัญญัติว่า "งานที่ผู้สร้างสรรค์ได้สร้างสรรค์ขึ้นโดยการรับจ้างบุคคลอื่นให้ผู้ว่าจ้าง เป็นผู้มีลิขสิทธิ์ในงานนั้น เว้นแต่ผู้สร้างสรรค์และผู้ว่าจ้างจะได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น" ฉะนั้น เงินค่าตอบแทนที่โจทก์ได้รับจากบริษัท ฮ. จึงเป็นเงินค่าจ้างทำของ ไม่ใช่ค่าแห่งลิขสิทธิ์ โจทก์จึงได้รับสิทธิเสียภาษีในอัตราร้อยละ 0 ตามมาตรา 80/1(2) ประกอบประกาศอธิบดี กรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 15) ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2534

ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรฉบับดังกล่าว ได้ถูกยกเลิกโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 105) ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2543 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2543 เป็นต้นไป ตามประกาศฉบับใหม่นี้ ข้อ 2 ระบุว่า "กำหนดให้การประกอบกิจการดังต่อไปนี้เป็นการให้บริการที่กระทำ ในราชอาณาจักร และได้มีการใช้บริการนั้นในต่างประเทศตามมาตรา 80/1(2) แห่งประมวล-รัษฎากร

(1) การให้บริการที่กระทำในราชอาณาจักรแก่ผู้รับบริการในต่างประเทศ และได้ส่งผลของการให้บริการนั้นไปใช้ในต่างประเทศทั้งหมด

การให้บริการตามวรรคหนึ่งหมายความว่า การกระทำใดๆ อันอาจหาประโยชน์อันมีมูลค่า ซึ่งมิใช่เป็นการขายสินค้า แต่ไม่รวมถึงการให้บริการจัดนำเที่ยวในต่างประเทศ"

ตามประกาศฉบับใหม่การส่งออกบริการทุก ประเภทยกเว้นการให้บริการจัดนำเที่ยวในต่างประเทศจึงได้รับสิทธิเสียภาษีใน อัตราร้อยละ 0 ต่างกับประกาศฉบับเดิมที่จำกัดเฉพาะการ ให้บริการรับจ้างทำของให้แก่ผู้ว่าจ้างในต่างประเทศเท่านั้นที่ถือเป็นการ ส่งออกบริการอัน จะได้รับสิทธิเสียภาษีในอัตราร้อยละ 0

การให้บริการนั้นหมายความว่า การกระทำใดๆ อันอาจหาประโยชน์อันมีมูลค่าซึ่งมิใช่เป็น การขายสินค้า ซึ่งคำว่า "สินค้า" นั้น ประมวล-รัษฎากร มาตรา 77/1(9) ให้หมายความว่า "ทรัพย์สินที่มีรูปร่างและไม่มีรูปร่างที่อาจมีราคาและถือเอาได้ไม่ว่าจะมี ไว้เพื่อขาย เพื่อใช้หรือเพื่อการใดๆ และให้หมายความรวมถึงสิ่งของ ทุกชนิดที่นำเข้า"

ในกรณีของทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property ) หากเป็นกรณีที่เจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาได้โอนขายทรัพย์สินทางปัญญาของตนให้ แก่บุคคลอื่นย่อมถือเป็นการขายสินค้าไม่มีรูปร่าง เช่น การโอนขายลิขสิทธิ์ให้แก่บุคคลอื่นย่อมถือเป็นการขายสินค้าไม่มี รูปร่าง ไม่ใช่การให้บริการ หากเป็นการโอนขายให้บุคคลอื่นในต่างประเทศ ย่อมถือเป็นการ ส่งออกสินค้า ได้รับสิทธิเสียภาษีในอัตราร้อยละ 0 ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 80/1(1) แต่ถ้าเป็นกรณีเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาอนุญาตให้บุคคลอื่นได้ใช้ทรัพย์สิน ทางปัญญาของตน เช่น อนุญาตให้ใช้ลิขสิทธิ์ (Copyright Licensing Agreement) ไม่ถือเป็นการขายสินค้าไม่มีรูปร่าง แต่ถือเป็นการให้บริการอย่างหนึ่ง กรณีที่เจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศไทยอนุญาต ให้บุคคลอื่นในต่างประเทศได้ใช้ทรัพย์สิน- ทางปัญญาของตนจึงเป็นการส่งออกบริการตามมาตรา 80/1(2) ได้รับสิทธิเสียภาษีในอัตรา ร้อยละ 0 เช่นเดียวกัน ฉะนั้น ในปัจจุบันไม่ว่า จะเป็นการโอนขายทรัพย์สินทางปัญญาให้แก่ ผู้ซื้อในต่างประเทศ การอนุญาตให้บุคคลอื่น ในต่างประเทศได้ใช้ทรัพย์สินทางปัญญา หรือการรับจ้างบุคคลอื่นในต่างประเทศสร้างสรรค์ทรัพย์สินทางปัญญา เช่น การรับจ้างเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ แล้วส่งไปให้บุคคลนั้นในต่างประเทศ ย่อมถือเป็นการส่งออกอันจะได้ รับสิทธิเสียภาษีในอัตราร้อยละ 0 ดังนั้น คดีนี้ถ้าเกิดขึ้นในปัจจุบันกรมสรรพากรน่าจะไม่โต้แย้งว่าค่าตอบแทนนั้นเป็น ค่าแห่งลิขสิทธิ์เหมือนกับที่ โต้แย้งในคดีนี้

ที่มา..http://www.sanpakornsarn.com/page_article_detail.php?aID=204

สรรพากรขู่ลงดาบสำนักงานบัญชีช่วยเลี่ยงภาษี

กรมสรรพากรบี้สำนักงานทั่วประเทศ จัดเก็บภาษีปี"53 ตามเป้า พร้อมจัดกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงเลี่ยงภาษี ขู่ลงดาบสำนักงานบัญชีช่วยหลบเลี่ยง

นายวินัย  วิทวัสการเวช  อธิบดีกรมสรรพากร  เปิดเผยว่า การจัดเก็บภาษีสิ้นปีงบประมาณ  2552  ในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมามียอดจัดเก็บ  1.24  ล้านล้านบาท  ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งเป้าไว้ที่  1.32  ล้านล้านบาท  อย่างไรก็ตาม คาดว่างบประมาณปี  2553  น่าจะทำได้ตามเป้าหมาย  เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น  อีกทั้งกรมสรรพากรจะเข้มงวดการจัดเก็บภาษีสำหรับผู้มีหน้าที่เสียภาษี

โดยในวันพรุ่งนี้ (13 ต.ค.)  จะมอบนโยบายให้เจ้าหน้าที่สรรพากรทั่วประเทศที่จังหวัดพิษณุโลก เพื่อจัดกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงในการหลีกเลี่ยงภาษี  รวมถึงสำนักงานบัญชี  ซึ่งเป็นผู้จัดทำบัญชีให้กับบริษัทเอกชนโดยเฉพาะการเสียภาษี  เพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีและเสียภาษีให้ครบถ้วน  หากสำนักงานบัญชีใดช่วยเหลือหลีกเลี่ยงภาษีก็จะมีความผิดเกี่ยวกับการเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดหลีกเลี่ยงภาษี

นอกจากนี้   ยังเตรียมแบ่งเกรดสำนักงานบัญชี  เพื่อให้เกิดความชัดเจนมากขึ้นเหมือนกรมศุลกากร  ซึ่งได้จัดเกรดผู้ประกอบการดีเด่นจะได้รับการอำนวยความสะดวกต่อการนำเข้า -ส่งออกสินค้าอย่างรวดเร็ว  รวมถึงการพิจารณาผู้ประกอบการที่ต้องเสียภาษีให้ถูกต้อง  มีการแจ้งยอดบัญชีตรงกับการดำเนินธุรกิจ  เช่น  การประกอบธุรกิจก่อสร้าง  ต้นทุนการก่อสร้าง  การจัดซื้อวัตถุดิบและค่าแรงต่าง ๆ จะต้องมีสัดส่วนสูงที่สุดไม่ใช่นำค่าใช้จ่ายส่วนอื่น เช่น บางรายมีต้นทุนน้ำมันสูงถึง 70%  จึงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องต่อการดำเนินธุรกิจ  และเห็นว่าธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล  เช่น กลุ่มก่อสร้างจะได้รับประโยชน์และมีรายได้สูงขึ้น  โดยต้องมีการเสียภาษีอย่างถูกต้องก็จะเข้าไปดูกลุ่มดังกล่าวด้วย

ที่มา..กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์

ภาษีอากรสำหรับกิจการตัวแทนประกันชีวิต และนายหน้าประกันชีวิต

กรมสรรพากรได้วางแนวทางปฏิบัติในการตรวจสอบ และแนะนำเกี่ยวกับการเสียภาษีเงินได้ และภาษีมูลค่าเพิ่ม

สำหรับ กิจการตัวแทนประกันชีวิตและนายหน้าประกันชีวิต ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 115/2545 ซึ่งต่อเนื่องกับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร จึงขอนำมาเป็นประเด็นปุจฉา-วิสัชนา ดังต่อไปนี้

ปุจฉา ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนที่เป็นบุคคลธรรมดามีหน้าที่เสียภาษีอย่างไร

วิสัชนา กรณีตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทน เป็นบุคคลธรรมดามีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาดังนี้
1. ค่าตอบแทนที่ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทน ได้รับจากบริษัทประกันชีวิตหรือบุคคลใดๆ เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร

2. ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้มีสิทธิหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ อย่างเดียวในอัตราร้อยละ 40 ของค่าตอบแทนที่ได้รับ แต่ไม่เกิน 60,000 บาท และในกรณีที่ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนได้รับเงินได้ตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร จากนายจ้างอื่นด้วย ให้หักค่าใช้จ่ายสำหรับเงินได้ตามมาตรา 40 (1) และมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร เป็นการเหมาได้อย่างเดียวในอัตราร้อยละ 40 ของเงินได้ที่ได้รับ แต่รวมกันต้องไม่เกิน 60,000 บาท

3. ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนซึ่งมีเงินได้ดังกล่าว ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90) ภายในเดือนมีนาคมของปีถัดจากปีภาษีที่ได้รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ ในกรณีผู้มีเงินได้เป็นฝ่ายภริยา และได้อยู่ร่วมกันกับสามีตลอดปีภาษีในปีที่มีเงินได้ ให้ถือเอาเงินได้ดังกล่าวเป็นเงินได้ของสามี และให้สามีมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษี ตามมาตรา 57 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร

ปุจฉา ค่าตอบแทนที่ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนได้รับจากบริษัทประกันชีวิต เข้าลักษณะเป็นเงินได้ตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร ได้หรือไม่ อย่างไร

วิสัชนา กรณีตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทน มีหลักฐานในการประกอบกิจการให้เห็นได้อย่างชัดแจ้ง ว่า ได้ประกอบกิจการในรูปแบบของการทำธุรกิจ และสามารถพิสูจน์รายจ่ายในการประกอบกิจการได้ ซึ่งมีลักษณะการประกอบกิจการดังนี้ ถือเป็นเงินได้ตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร

1. ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนและ

2. ได้จัดตั้งเป็นสำนักงานในการประกอบกิจการ โดยมีอาคารสำนักงานเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง หรือเช่าจากบุคคลอื่น โดยมีหลักฐาน เช่น หลักฐานการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ สัญญาเช่าสำนักงาน และ

3. มีการลงทุนด้วยการจัดหาเครื่องมือเครื่องใช้ มีค่าใช้จ่ายสำนักงาน และ

4. มีการจ้างลูกจ้างหรือพนักงานในการประกอบกิจการ โดยมีหลักฐานตามสัญญาจ้างแรงงาน หลักฐานการจ่ายเงินเข้ากองทุนประกันสังคมตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม และหลักฐานการแสดงการหักภาษี ณ ที่จ่าย และนำส่ง ในกรณีการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่าย ไม่มีภาษีที่ต้องหัก ณ ที่จ่ายและนำส่ง จะต้องมีหลักฐานเกี่ยวกับการยื่นรายการเกี่ยวกับค่าจ้างแรงงานตามแบบ ภ.ง.ด. 1 ก.

5. มีค่าใช้จ่ายในการประกอบกิจการ เช่น ค่ารับรอง หรือค่าบริการเพื่อประโยชน์ในการติดต่องานกับลูกค้า และ

6. มีหนังสือรับรองจากบริษัทประกันชีวิตว่าไม่มีการจ่ายเงินชดเชยหรือออกค่าใช้จ่ายแทนให้

ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้หักค่าใช้จ่ายได้ตามความจำเป็นและ สมควร โดยให้นำมาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี มาใช้บังคับโดยอนุโลม ทั้งนี้ หากตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนไม่สามารถพิสูจน์รายจ่าย และไม่มีหลักฐานในการประกอบกิจการตามวรรคหนึ่ง เงินค่าตอบแทนที่ได้รับจากบริษัทประกันชีวิตเข้าลักษณะเป็นเงินได้ตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร

ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนดังกล่าว ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและชำระภาษี ดังนี้

1. ค่าตอบแทนที่ได้รับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน ให้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาพร้อมกับชำระภาษีภายในเดือน กันยายนของทุกปีภาษี ทั้งนี้ ตามมาตรา 56 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร

2. ค่าตอบแทนที่ได้รับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนธันวาคม ให้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาพร้อมกับชำระภาษีภายในเดือน มีนาคมของปีถัดไป โดยให้นำภาษีที่ชำระไว้แล้วตาม (ก) มาเป็นเครดิตหักออกจากภาษีที่ต้องชำระได้ ทั้งนี้ ในกรณีผู้มีเงินได้เป็นฝ่ายภริยาและได้อยู่ร่วมกันกับสามีตลอดปีภาษีในปีที่ มีเงินได้ ให้ถือเอาเงินได้ดังกล่าวเป็นเงินได้ของสามี และให้สามีมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษี ตามมาตรา 57 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร

ปุจฉา กรมสรรพากรมีแนวทางปฏิบัติอย่างไร เกี่ยวกับกรณีตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทน ซึ่งได้มีการรวมกับบุคคลอื่นในลักษณะเป็นกลุ่มหรือทีมหรือในลักษณะทำนอง เดียวกันในการหาผู้เอาประกันชีวิต โดยตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนต้องได้รับค่าตอบแทนในการทำหน้าที่ เป็นตัวแทนหรือนายหน้าเพียงคนเดียว แต่ปรากฏหลักฐานว่าให้มีการรับเงินค่าตอบแทนในชื่อบุคคลอื่น ไม่ว่าบุคคลอื่นจะได้รับค่าตอบแทนจริงหรือไม่

วิสัชนา กรณีนี้ให้ถือว่า ค่าตอบแทนดังกล่าวเป็นเงินได้ของตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนนั้นทั้งจำนวน

ขอนำประเด็นการเสียภาษีเงินได้ และภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับกิจการตัวแทนประกันชีวิตและนายหน้าประกันชีวิตตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 115/2545

มาปุจฉา - วิสัชนา ต่อจากสัปดาห์ก่อนดังนี้

 

ปุจฉา คำว่า “ตัวแทน” “นายหน้า” และ “หัวหน้าตัวแทน” หมายความว่าอย่างไร

วิสัชนา คำว่า “ตัวแทน” หมายความว่า ตัวแทนประกันชีวิตตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต รวมทั้งบุคคลซึ่งทำหน้าที่งานลักษณะทำนองเดียวกับตัวแทนประกันชีวิตให้แก่ บุคคลใดๆ

คำว่า “นายหน้า” หมายความว่า นายหน้าประกันชีวิตตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต และหมายความรวมถึงบุคคลที่ทำหน้าที่งานลักษณะทำนองเดียวกับนายหน้าประกัน ชีวิตให้แก่บุคคลใดๆ

คำว่า “หัวหน้าตัวแทน” หมายความว่า บุคคลซึ่งมีข้อตกลงหรือข้อผูกพันกับบริษัทประกันชีวิตให้ทำหน้าที่ในฐานะผู้ นำกลุ่มซึ่งมีหน้าที่ให้คำแนะนำ ให้ความช่วยเหลือ ให้คำปรึกษา หรือด้วยประการอื่นใด แก่ตัวแทนที่อยู่ในกลุ่มหรืออยู่ในทีมหรือในลักษณะทำนองเดียวกับกลุ่ม หรือทีม ไม่ว่าจะเรียกว่าเป็นผู้จัดการ หัวหน้ากลุ่ม หัวหน้าเขต หรือหัวหน้าภาค หรือเรียกเป็นอย่างอื่นในลักษณะทำนองเดียวกัน โดยจะได้รับค่าตอบแทนจากบริษัทประกันชีวิต

ปุจฉา คำว่า “ค่าตอบแทน”  หมายความว่าอย่างไร

วิสัชนา คำว่า “ค่าตอบแทน”  หมายความว่า เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อย่างอื่นที่คำนวณได้เป็นเงิน รวมทั้งค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเรียกว่าเป็นค่าบำเหน็จ ค่าธรรมเนียม ส่วนลด รางวัล โบนัส หรือเรียกเป็นอย่างอื่นที่ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนได้รับเนื่อง จากการเป็นตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทน เช่น

ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนได้รับประโยชน์จากการที่บริษัทประกัน ชีวิตได้ให้ไปท่องเที่ยวในต่างประเทศ หรือไปสัมมนาที่ต่างประเทศ มูลค่าของประโยชน์ที่ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนได้รับจากการไปท่อง เที่ยวหรือสัมมนาในต่างประเทศดังกล่าว ถือเป็นค่าตอบแทนที่ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนได้รับจากบริษัท ประกันชีวิตที่ต้องนำมารวมคำนวณเสียภาษีด้วย

บริษัทประกันชีวิตมีนโยบายให้รางวัลแก่ตัวแทนประกันชีวิต หรือนายหน้าประกันชีวิตหรือหัวหน้าตัวแทน ที่ทำผลงานได้ดีเด่น หรือทำรายได้ได้ตามเป้า ตามหลักเกณฑ์ที่บริษัทประกันชีวิตกำหนดไว้ โดยให้รางวัลเป็นเงินหรือทรัพย์สิน รางวัลดังกล่าวย่อมถือเป็นค่า ตอบแทนของตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนที่ได้รับจากบริษัทประกันชีวิต ซึ่งต้องนำมารวมคำนวณเสียภาษีด้วย
ปุจฉา ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนที่เป็นบุคคลธรรมดาต้องมีหน้าที่เสียภาษี มูลค่าเพิ่มหรือไม่ อย่างไร
วิสัชนา การให้บริการของตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนแก่บริษัทประกันชีวิต หรือบุคคลใดๆ เข้าลักษณะเป็นการให้บริการตามมาตรา 77/1 (10) แห่งประมวลรัษฎากร จึงอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 (1) แห่งประมวลรัษฎากร โดยต้องนำรายรับซึ่งเป็นค่าตอบแทนที่ได้รับมารวมคำนวณเป็นมูลค่าของฐานภาษีเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มดังนี้

1. กรณีตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนมีรายรับไม่เกิน 1,800,000 บาทต่อปี ย่อมได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตาม มาตรา 81/1 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับมาตรา 4 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดมูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อม ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 432) พ.ศ.2548 จึงไม่ต้องจดทะเบียนและเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม

หากตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนดังกล่าว ประสงค์จะเสียภาษีมูลค่าเพิ่มก็ให้กระทำได้โดยให้แจ้งต่ออธิบดีกรมสรรพากรเพื่อขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้แจ้งต่ออธิบดีกรมสรรพากร ตามมาตรา 81/3 (2) และมาตรา 85/1 (2) แห่งประมวลรัษฎากร

2. กรณีตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนมีรายรับเกิน 1,800,000 บาทต่อปี ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนมีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และจะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30 วันนับแต่วันที่มีรายรับเกิน 1,800,000 บาทต่อปี ตามมาตรา 85/1 (1) แห่งประมวลรัษฎากร

ปุจฉา มีแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย โดยรวมอย่างไร

วิสัชนา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือบุคคลใดๆ ซึ่งเป็นผู้จ่ายค่าตอบแทนให้แก่ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทน ผู้จ่ายมีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และต้องนำส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ต่อกรมสรรพากรภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด

ในการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย สำหรับค่าตอบแทนที่จ่ายให้แก่ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนที่มีการ รวมกลุ่มกับบุคคลอื่นในลักษณะรวมกันเป็นทีมหรือกลุ่มหรือในลักษณะทำนองเดียว กันในการหาผู้เอาประกันชีวิต โดยผู้จ่ายต้องจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนซึ่ง ทำหน้าที่เป็นตัวแทนหรือนายหน้าเพียงคนเดียว แต่ปรากฏหลักฐานว่าให้มีการรับเงินค่าตอบแทนในชื่อบุคคลอื่น ไม่ว่าบุคคลอื่นจะได้รับค่าตอบแทนจริงหรือไม่ ให้ถือว่าการจ่ายค่าตอบแทนดังกล่าว เป็นการจ่ายให้แก่ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนนั้นทั้งจำนวน เช่น นาย ก. เป็นตัวแทนประกันชีวิต ได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนประกันชีวิตตามกรมธรรม์ที่นาย ก. เป็นตัวแทนในการหาประกันชีวิตแต่เพียงผู้เดียว แต่ได้มีการจ่ายค่าตอบแทนในชื่อของบุคคลอื่นที่อยู่ในกลุ่มหรือทีมในการหา ประกันชีวิตของนาย ก. ด้วย ถือได้ว่าเป็นการจ่ายค่าตอบแทนให้นาย ก. เพียงคนเดียว

 

ที่มา..กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

การกำหนดสัญชาติของนิติบุคคล

การกำหนดสัญชาติของนิติบุคคล

ในการกำหนดสัญชาติ หากเป็นบุคคลธรรมดา อาจระบุได้ง่ายโดยสัญชาติของบุคคลธรรมดาอาจระบุได้จากสายโลหิตหรือดินแดนที่เกิด แต่นิติบุคคลเป็นบุคคลที่ได้รับการรับรองให้มีตัวตนตามกฎหมาย การเกิดขึ้นของ นิติบุคคลจะตั้งขึ้นโดยกฎหมายของแต่ละประเทศ ในดินแดนของแต่ละประเทศ และตั้งขึ้นโดยคนของแต่ละประเทศ เช่น บริษัท กขค จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีสำนักงานแห่งใหญ่อยู่ในประเทศไทย และมีแต่บุคคลผู้มีสัญชาติไทยเป็นผู้รวมตัวกันก่อตั้งบริษัท ดังนั้น บริษัท กขค จำกัด จึงเป็นบริษัทที่มีสัญชาติไทยโดยไม่มีข้อสงสัย ในปัจจุบันมีการก่อตั้งนิติบุคคลที่เรียกกันว่า “บริษัทข้ามชาติ” (Transnational Corporation) ตัวอย่างเช่น บริษัท เอบีซี จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีสำนักงานแห่งใหญ่อยู่ในประเทศไทย แต่มีบุคคลสัญชาติสิงคโปร์ทั้งหมดเป็นผู้ถือหุ้น หรือบริษัท ดีอีเอฟ จำกัด จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายอังกฤษ มีสำนักงานแห่งใหญ่อยู่ในประเทศฝรั่งเศส และมีบุคคลสัญชาติญี่ปุ่นเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด ได้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย เช่นนี้คงเป็นเรื่องยากที่จะระบุสัญชาติของนิติบุคคลนี้ให้ได้อย่างชัดเจนว่าเป็นนิติบุคคลสัญชาติใด

รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ให้คำอธิบายในเรื่องดังกล่าวว่า “นิติบุคคลเป็นสิ่งที่กฎหมายก่อตั้งขึ้น และรับรองให้มีตัวตนทางกฎหมาย ความเป็นนิติบุคคลจึงขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญที่เป็นสารัตถะของนิติบุคคล กล่าวคือ

(1) บุคคลทางกฎหมายที่มารวมตัวกันเพื่อกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งร่วมกัน อาทิ นิติบุคคลในรูปของบริษัทก็จะ ต้องมีผู้ถือหุ้น นิติบุคคลในรูปของสมาคมก็จะต้องมีสมาชิก (Groupement of Member)

(2) ที่ทำการหรือสำนักงานในการกระทำร่วมกันและในการกำหนดเจตนาของนิติบุคคล (Head Office)

(3) กฎหมายรับรองสภาพความเป็นบุคคลทางกฎหมายของนิติบุคคลนั้น (Incorporating Law) แต่ อย่างไรก็ตามปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะข้อเท็จจริงทั้งสามอาจตกอยู่ภายใต้อำนาจ อธิปไตยของรัฐที่แตกต่างกัน จึงต้องเลือกว่าข้อเท็จจริงใดในข้อเท็จจริงทั้งสามที่เป็นตัวชี้ความ สัมพันธ์ที่เข้มข้นที่สุดระหว่างรัฐและนิติบุคคล”

“ในวิชานิติศาสตร์เป็นหลักทั่วไปที่รัฐหนึ่งๆ จะไม่ปฏิเสธสิ่งที่มีจุดกำเนิดจากกฎหมายของตน เพราะการปฏิเสธดังกล่าวจะหมายความว่ารัฐนั้นปฏิเสธความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายของตนเอง ดังนั้นในทางปฏิบัติรัฐจะไม่ปฏิเสธที่จะยอมรับว่านิติบุคคลที่ก่อตั้งสภาพบุคคลตามกฎหมายของตน (Incorporation) ย่อมมีสัญชาติของตนในความหมายทั่วไป อย่างไรก็ตามนักนิติศาสตร์ไทยอีกกลุ่มหนึ่งก็พยายามอธิบายว่า นิติบุคคลผู้มีสัญชาติไทยจะต้องมีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศไทย ส่วนนักนิติศาสตร์อีกกลุ่มหนึ่งพยายามหาทางประนีประนอมโดยการอธิบายว่าสัญชาติของนิติบุคคลย่อมเป็นไปตามข้อเท็จจริงทั้งสองประการ กล่าวคือนิติบุคคล ย่อมมีสัญชาติของทั้งเจ้าของประเทศของกฎหมายที่ก่อตั้งสภาพนิติบุคคลและ ประเทศเจ้าของถิ่นที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ของนิติบุคคล แต่สำหรับแนวคำพิพากษาฎีกายืนยันอย่างชัดเจนว่า ประเทศเจ้าของกฎหมายที่ก่อตั้งสภาพนิติบุคคลย่อมเป็นเจ้าของสัญชาติของนิติบุคคลนั้น เช่น คำพิพากษาฎีกาที่ 1318/2513 ศาลฎีกาเห็นว่า บริษัทหลุยส์ ที เลียวโนเวนส์ จำกัด ซึ่งจดทะเบียนตามกฎหมายอังกฤษ จึงมีสัญชาติอังกฤษ คำพิพากษาฎีกาที่ 3401/2529 ศาลฎีกาเห็นว่า บริษัท คัมป์สกิปแซสกาเบ็ทอาฟ 1912 อัคคีแซลสกาป จำกัดเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายเดนมาร์ก ซึ่งมีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์กจึงมี สัญชาติเดนมาร์ก หรือ คำพิพากษาฎีกาที่ 2466/2523 ศาลฎีกาเห็นว่าบริษัท เซ็นทรัลออโตโมทีฟโปรดักส์ จำกัด ตั้งขึ้นตามกฎหมายญี่ปุ่น จึงมีสัญชาติญี่ปุ่น เป็นต้น กล่าวโดยสรุปศาลไทยจึงมีแนวความคิดที่ว่าบริษัทที่มิได้จดทะเบียนก่อตั้งนิติบุคคลตามกฎหมายไทย จึงไม่มีสัญชาติไทย และเป็นเพียงนิติบุคคลต่างด้าวในประเทศไทย

การ ยอมรับของศาลไทยในแนวทางนี้เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล เพราะเมื่อหากนิติบุคคลนี้เกิดขึ้นจากกฎหมายไทย การจะปฏิเสธความเป็นไทยของนิติบุคคลนั้น เท่ากับเป็นการปฏิเสธความมีผลของกฎหมายไทยนั่นเอง ”

ข้อเท็จจริงที่ชี้ว่านิติบุคคลมีสัญชาติไทย

“ในประเทศไทยไม่มีกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรในเรื่องสัญชาติของนิติบุคคล กฎหมายไทยที่เป็นลายลักษณ์อักษรในเรื่องสัญชาติของนิติบุคคลเป็นเพียงกฎหมายพิเศษ กล่าวคือไม่นำมาใช้โดยทั่วไป แต่ จะใช้เมื่อเกิดมีสถานการณ์พิเศษตามข้อกำหนดของกฎหมายเท่านั้น ในสถานการณ์ทั่วไป ถ้านิติบุคคลหนึ่งจดทะเบียนก่อตั้งนิติบุคคลตามกฎหมายไทย แม้จะมีสำนักงานแห่งใหญ่ที่แท้จริงตั้งอยู่ในต่างประเทศหรือ แม้ว่าผู้เป็นสมาชิกของนิติบุคคลจะเป็นผู้ไม่มีสัญชาติไทย นิติบุคคลนั้นก็จะมีสถานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายไทย ในปรากฏการณ์เช่นนี้เราจึงเผชิญกับ “นิติบุคคลไทยมีองค์ประกอบต่างด้าว” ในสถานการณ์ที่ตรงกันข้ามนิติบุคคลต่างด้าวในประเทศไทยก็อาจจะเป็นนิติบุคคล ซึ่งไม่ได้ก่อตั้งและมีสถานภาพนิติบุคคลตามกฎหมายไทย แต่มีสำนักงานแห่งใหญ่ที่แท้จริงตั้งอยู่ในประเทศไทย หรือมีผู้เป็นสมาชิกข้างมากของนิติบุคคลเป็นผู้มีสัญชาติไทย นิติบุคคลนั้นก็จะตกเป็นนิติบุคคลต่างด้าวอย่างไม่ต้องสงสัย ในปรากฏการณ์เช่นนี้เราจึงเผชิญกับ “นิติบุคคลต่างด้าวที่มีองค์ประกอบไทย”

สัญชาติของนิติบุคคลถือเป็นเครื่องหมายแสดงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐเจ้าของนิติบุคคลและตัวนิติบุคคล และการจะยอมรับว่านิติบุคคลนี้มีสัญชาติของรัฐใดหรือไม่ ย่อมเป็นไปตามเจตนาของรัฐเจ้าของสัญชาติของนิติบุคคล ซึ่งก็คือกฎหมายของรัฐเจ้าของสัญชาตินั่นเอง แต่อย่างไรก็ตามรัฐก็ไม่อาจใช้อำนาจตามอำเภอใจในการกำหนดสัญชาติของนิติบุคคลได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากกฎหมายระหว่างประเทศไม่รับรองการ ให้สัญชาติให้แก่นิติบุคคลที่ไม่มีความสัมพันธ์ที่แท้จริงกับตน นอกจากนี้การกำหนดว่านิติบุคคลหนึ่งๆมีสัญชาติไทยหรือไม่ มีความจำเป็นต้องทำการศึกษาในแต่ละขั้นตอนเพื่อให้ ได้ข้อเท็จจริงที่ชี้ว่านิติบุคคลนั้นเป็นนิติบุคคลสัญชาติไทยเป็นกรณีๆไป”

บทความที่กล่าวในข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของบทความเรื่อง “การกำหนดสัญชาติไทยของนิติบุคคลในปัจจุบัน โดย รศ.ดร. พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จาก www.lawthai.org ครับ

 

ที่มา : รศ.ดร. พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร

www.lawthai.org

สำนักทะเบียนธุรกิจ
ศูนย์ให้คำปรึกษา
DBD E-Newsletter

หน้าที่ของบริษัทในการจัดทำสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น

หน้าที่ของบริษัทในการจัดทำสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น

สมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น ก็คือสมุดที่จดบันทึกเกี่ยวกับหุ้นและผู้ถือหุ้นของบริษัท เพื่อให้รู้ว่าใครเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทบ้าง คนละเท่าใด ตั้งแต่เมื่อใด ตลอดจนรายละเอียดเกี่ยวกับการโอนหุ้นและการเปลี่ยนแปลงรายการต่างๆ ที่บันทึกไว้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของกรรมการที่ต้องจัดให้มีสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นนับแต่วันที่จดทะเบียนบริษัทนั้น และให้เก็บรักษาไว้ ณ สำนักงานของบริษัท เพื่อให้ผู้ถือหุ้นสามารถตรวจสอบดูได้ สมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นต้องมีรายการตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1138 กำหนด คือ 
     (1) ชื่อ ที่อยู่ และอาชีพ ของผู้ถือหุ้นแต่ละคนและต้องระบุไว้ด้วยว่าผู้ถือหุ้นคนหนึ่งๆ ถือหุ้นกี่หุ้น หมายเลขหุ้นเลขที่เท่าใดถึงเลขที่เท่าใด แต่ละหุ้นได้ใช้เงินค่าหุ้นแล้วเท่าใด หรือถ้าเป็นหุ้นชนิดออกให้เพื่อทดแทนแรงงานหรือแลกเปลี่ยนกับทรัพย์สินของผู้ถือหุ้นก็ต้องระบุว่าได้ใช้เงินแล้วเท่าใด 
     (2) วัน เดือน ปี ที่ได้ลงทะเบียนว่าผู้นั้นเป็นผู้ถือหุ้น 
     (3) วัน เดือน ปี ซึ่งบุคคลใดขาดจากการเป็นผู้ถือหุ้น 
     (4) เลขหมายใบหุ้นและวันที่ลงในใบหุ้นชนิดออกให้แก่ผู้ถือและเลขหมายของหุ้นซึ่งลงไว้ใน ใบหุ้นนั้นๆ 
     (5) วันที่ได้ขีดฆ่าใบหุ้นชนิดระบุชื่อ หรือชนิดออกให้แก่ผู้ถือ 
     สมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นนี้ กฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าข้อความที่จดลงไว้ในทะเบียนผู้ถือหุ้นเป็นพยานหลักฐานอันถูกต้อง ซึ่งนอกจากผู้ถือหุ้นของบริษัทจะได้ใช้ประโยชน์เพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานแล้ว บุคคลภายนอกก็อาจจะถือเอารายการต่างๆ ที่ได้บันทึกไว้ในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น เพื่อใช้เป็นพยาน หลักฐานได้ด้วยเช่นกัน หากบริษัทจดบันทึกรายการดังกล่าวผิดพลาดไปจากความเป็นจริง บริษัทอาจต้องรับผิดชอบจากการบันทึกที่ผิดพลาดนั้นด้วย 
     ดังนั้น การจดบันทึก แก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือการกระทำใดๆ ในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัท ถือเป็นกิจการภายในของบริษัท ซึ่งสามารถกระทำได้โดยไม่ต้องจดทะเบียนต่อสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามกฎหมายกำหนดให้เป็นหน้าที่ของกรรมการบริษัทที่จะต้องส่งสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (แบบ บอจ. 5) ไปยังนายทะเบียนอย่างน้อยปีละครั้งภายใน 14 วันนับแต่ วันที่มีการประชุมสามัญ ซึ่งสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นดังกล่าว กฎหมายสันนิษฐานว่าเป็นพยานหลักฐาน อันถูกต้องแล้ว ดังนั้น นายทะเบียนจึงไม่มีอำนาจในการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงรายการใดๆ ในสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นได้ 
     อนึ่งหากบริษัทจำกัดใดละเลย ไม่จัดให้มีสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น หรือไม่รักษาสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นหรือไม่เปิดสมุดทะเบียนให้ผู้ถือหุ้นดู ย่อมมีความผิดตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคมและมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 10, 11 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท และกรรมการบริษัทมีความผิดตามมาตรา 25 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาทด้วย นอกจากนี้หากกรรมการบริษัทไม่ส่งสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นในวันประชุมสามัญประจำปีไปยังนายทะเบียน ย่อมมีความผิดตามมาตรา 26 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทด้วยเช่นกัน

สำนักทะเบียนธุรกิจ
ศูนย์ให้คำปรึกษาด้านทะเบียนธุรกิจ
DBD E-Newsletter