แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ภาษีเงินได้นิติบุคคล แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ภาษีเงินได้นิติบุคคล แสดงบทความทั้งหมด

เงินได้จากการตรวจรักษาผู้ป่วย ถือเป็นเงินได้ตามมาตราไหน

เงินได้จากการตรวจรักษาผู้ป่วยที่แพทย์ได้รับ ถือเป็นเงินได้ประเภทค่าจ้าง หรือเงินได้จากรับทำงานให้ หรือเงินได้จากการประกอบวิชาชีพอิสระ ต้องดูวิธีการที่ได้รับเงินได้มา ถ้าทำงานในฐานะลูกจ้างของโรงพยาบาลก็ถือเป็นเงินเดือนค่าจ้าง ตามมาตรา 40(1) ถ้าไม่ได้เป็นลูกจ้างแต่มาทำงานพิเศษนอกเวลา ก็ถือเป็นเงินได้จากการรับทำงานให้ ตามมาตรา 40(2) แต่ถ้าเป็นการเปิดคลีนิคเอง หรือตกลงทำสัญญาเพื่อขอใช้สถานที่กับโรงพยาบาลแบบนี้ ถึงจะเป็นเงินได้จากการประกอบวิชาชีพอิสระ ตามมาตา 40(6) ลองมาดูที่สรรพากรตอบไว้นะครับ

เลขที่หนังสือ : กค 0702/1703

วันที่ : 4 มีนาคม 2553

เรื่อง : ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีเงินได้จากวิชาชีพอิสระ การประกอบโรคศิลปะ

ข้อกฎหมาย : มาตรา 40(1) มาตรา 40(2) และมาตรา 40(6) แห่งประมวลรัษฎากร

ข้อหารือ
          นาย ก. ได้รับเงินเดือนและได้รับเงินจากการตรวจรักษาผู้ป่วยที่ คลินิกพิเศษนอกเวลาราชการของโรงพยาบาล โดยมี หนังสือข้อตกลงการประกอบโรคศิลปะ ซึ่งแพทย์เป็นผู้เรียกเก็บค่าตรวจรักษาจากผู้ ป่วยและมีการตกลงแบ่งรายได้จากค่าตรวจ รักษาให้โรงพยาบาลตามอัตราส่วนที่กำหนด เงินรายได้จากการตรวจรักษาผู้ป่วยที่คลินิก พิเศษนอกเวลาราชการดังกล่าว คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลได้มีเอกสารรับรองเป็นค่าตอบแทนจากการประกอบ วิชาชีพอิสระ ตาม มาตรา 40(6) แห่ง ประมวลรัษฎากร ซึ่งนาย ก.ได้ยื่นเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของปีภาษี 2551 แล้ว แต่เมื่อเดือนกันยายน 2552 นาย ก. เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 40(2) แห่งประมวลรัษฎากร นาย ก.จึงขอทราบว่า เงินได้จากการตรวจผู้ป่วยในคลินิกพิเศษนอก เวลาราชการเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทใด

แนววินิจฉัย
          1. หากค่าตอบแทนที่แพทย์ได้รับเนื่องจากการจ้างแรงงาน ค่า ตอบแทนดังกล่าว ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) แห่งประมวลรัษฎากร แม้ว่างานที่ปฏิบัตินั้นจะใช้วิชาการทางการประกอบ โรคศิลปะอันเป็นวิชาชีพอิสระก็ตาม และเงินได้เนื่องจาก การจ้างแรงงาน หมายรวมถึง เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์ใดๆ บรรดาที่ได้รับ เนื่องจากการจ้างแรงงาน
          2. หากค่าตอบแทนที่แพทย์ได้รับเนื่องจากหน้าที่หรือ ตำแหน่งงานที่ทำหรือจากการรับทำงานให้ ซึ่งรวมถึง เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์ใดๆ บรรดาที่ได้เนื่องจากหน้าที่หรือตำแหน่งที่ทำหรือ จากการรับทำงานให้ ไม่ว่าหน้าที่หรือตำแหน่งงานหรืองานที่ รับทำให้นั้นจะเป็นการประจำหรือชั่วคราว ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตาม มาตรา 40(2) แห่งประมวลรัษฎากร
          3. สำหรับค่าตอบแทนที่แพทย์ได้รับ ซึ่งจะถือเป็นเงินได้ พึงประเมินตามมาตรา 40(6) แห่งประมวลรัษฎากร ต้องปรากฏว่าแพทย์ได้เปิดคลินิกรักษาคนไข้เป็นการส่วนตัว หรือแพทย์ทำสัญญาหรือ ตกลงกับสถานพยาบาลเพื่อขอใช้สถานที่ เครื่องมือและ อุปกรณ์เพื่อประกอบโรคศิลปะในนามของแพทย์ เพื่อตรวจและรักษาผู้ป่วยโดย แพทย์เป็นผู้เรียกเก็บค่าตรวจรักษาเองและมีข้อตกลงแบ่งเงินค่าตรวจรักษาที่ ได้รับจากผู้ป่วยให้แก่สถานพยาบาลเป็นลายลักษณ์อักษร หรือแพทย์ทำสัญญาหรือตกลงกับ สถานพยาบาลเพื่อขอใช้สถานที่เครื่องมือและอุปกรณ์เพื่อประกอบโรคศิลปะในนาม ของแพทย์เพื่อ ตรวจและรักษาผู้ป่วย และมี ข้อตกลงแบ่งเงินค่าตรวจรักษาที่ได้รับจากผู้ป่วย โดยสถานพยาบาลเป็นผู้เรียกเก็บค่าตรวจรักษาแทนแพทย์ แล้วนำมาจ่ายให้กับแพทย์เพื่อแบ่งรายได้ให้สถานพยาบาล เงินได้ที่แพทย์เรียกเก็บจากผู้ป่วยทั้งจำนวนเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (6) แห่งประมวลรัษฎากร มิใช่เฉพาะส่วนแบ่งที่เหลือหลังจากหักส่วนแบ่งของสถานพยาบาลออก
          กรณีตามข้อเท็จจริง หากนาย ก.ทำสัญญาหรือข้อตกลงกับ มหาวิทยาลัยมหิดลเพื่อขอใช้สถานที่ เครื่องมือและอุปกรณ์ เพื่อประกอบโรคศิลปะในนามของนาย ก. เพื่อตรวจและรักษาผู้ป่วย และมีข้อตกลงแบ่งค่าตรวจรักษาที่ได้รับจากผู้ป่วย โดย มหาวิทยาลัยมหิดลเป็นผู้เรียกเก็บค่าตรวจรักษาแทนนาย ก. แล้วนำมาจ่ายให้กับนาย ก. เพื่อ แบ่งรายได้ให้มหาวิทยาลัยมหิดลต่อไป เงินได้ที่นาย ก.เรียกเก็บจากผู้ป่วยทั้งจำนวนเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(6) แห่งประมวล รัษฎากร มิใช่เฉพาะ เงินส่วนแบ่งที่เหลือหลังจากหักส่วนแบ่งของมหาวิทยาลัยมหิดลออกแล้ว

เลขตู้ : 73/37159

ค่ารับรองที่ถือเป็นรายจ่ายได้

อ้างอิง ::ฉบับที่ 143::

สรุปค่ารับรอง
1. รายรับรวมหรือทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว (แล้วแต่ว่าอันไหนจะสูงกว่า) x 0.3%  (ไม่เกิน 10 ล้านบาท)
2. ค่ารับรองที่ให้เป็นสิ่งของต้องไม่เกิน 2,000 บาทต่อคน

กฎกระทรวง​
ฉบับ​ที่​ 143 (พ​.​ศ​. 2522)
ออกตาม​ความ​ใน​ประมวลรัษฎากร​
ว่า​ด้วย​ภาษี​เงิน​ได้
---------------------------------------------

อาศัยอำ​นาจตาม​ความ​ใน​มาตรา​ 4 ​แห่งประมวลรัษฎากร​ ​ซึ่ง​แก้​ไขเพิ่มเติม​โดย​พระราชบัญญัติ​แก้​ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร​ ​(​ฉบับ​ที่​ 20) ​พ​.​ศ​. 2513 ​และ​มาตรา​ 65 ​ตรี​ (4) ​แห่งประมวลรัษฎากร​ ​ซึ่ง​แก้​ไขเพิ่มเติม​โดย​พระราชกำ​หนดแก้​ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร​ ​(​ฉบับ​ที่​ 5) ​พ​.​ศ​. 2512 ​รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกกฎกระทรวง​ไว้​ ​ดังต่อไปนี้​

ข้อ​ 1 ​ค่ารับรอง​หรือ​ค่าบริการที่​จะ​ถือ​เป็น​รายจ่าย​ใน​การคำ​นวณกำ​ไรสุทธิ​ได้​ต้อง​เป็น​ไปตามหลักเกณฑ์ที่กำ​หนด​ใน​ข้อ​ 2 ​ข้อ​ 3 ​ข้อ​ 4 ​และ​ข้อ​ 5

ข้อ​ 2 ​ค่ารับรอง​หรือ​ค่าบริการ​นั้น​ ​ต้อง​เป็น​ค่ารับรอง​หรือ​ค่าบริการอันจำ​เป็น​ตามธรรมเนียมประ​เพณีทางธุรกิจ​ทั่ว​ไป​ ​และ​บุคคล​ซึ่ง​ได้​รับการรับรอง​หรือ​รับบริการ​ต้อง​มิ​ใช่​ลูกจ้างของบริษัท​หรือ​ห้างหุ้น​ส่วน​นิติบุคคลเว้นแต่ลูกจ้างดังกล่าว​จะ​มีหน้าที่​เข้า​ร่วม​ใน​การรับรอง​หรือ​การบริการ​นั้น​ด้วย​

ข้อ​ 3 ​ค่ารับรอง​หรือ​ค่าบริการ​ ​ต้อง​

(1) ​เป็น​ค่า​ใช้​จ่ายอันเกี่ยว​เนื่อง​โดย​ตรง​กับ​การรับรอง​หรือ​การบริการที่​จะ​อำ​นวยประ​โยชน์​แก่กิจการ​ ​เช่น​ ​ค่าที่พัก​ ​ค่าอาหาร​ ​ค่า​เครื่องดื่ม​ ​ค่าดูมหรสพ​ ​ค่า​ใช้​จ่ายเกี่ยว​กับ​การกีฬา​ ​เป็น​ต้น​ ​หรือ​

“(2) ​เป็น​ค่าสิ่งของที่​ให้​แก่บุคคล​ซึ่ง​ได้​รับการรับรอง​หรือ​รับบริการ​ไม่​เกินคนละ​ 2,000 ​บาท​ ​ใน​แต่ละคราวที่มีการรับรอง​หรือ​การบริการ​”

ข้อ​ 4 ​จำ​นวนเงินค่ารับรอง​และ​ค่าบริการ​ให้​นำ​มาหัก​เป็น​รายจ่าย​ได้​เท่า​กับ​จำ​นวนที่​ต้อง​จ่าย​ ​แต่รวม​กัน​ต้อง​ไม่​เกินร้อยละ​ 0.3 ​ของจำ​นวนเงินยอดราย​ได้​หรือ​ยอดขายที่​ต้อง​นำ​มารวมคำ​นวณกำ​ไรสุทธิก่อนหักรายจ่าย​ใด​ ​ใน​รอบระยะ​เวลาบัญชี​หรือ​ของจำ​นวนเงินทุนที่​ได้​รับชำ​ระ​แล้ว​ถึง​วันสุดท้ายของรอบระยะ​เวลาบัญชี​ ​แล้ว​แต่จำ​นวน​ใด​จะ​มากกว่า​ ​ทั้ง​นี้รายจ่ายที่​จะ​นำ​มาหัก​ได้​จะ​ต้อง​มีจำ​นวนสูงสุด​ไม่​เกิน​ 10 ​ล้านบาท​

(แก้​ไขเพิ่มเติม​โดย​กฎกระทรวง​ ​ฉบับ​ที่​ 222 (พ​.​ศ​. 2542) ​ใช้​บังคับสำ​หรับรอบระยะ​เวลาบัญชีที่​เริ่ม​ใน​หรือ​หลังวันที่​ 1 ​มกราคม​ 2542 ​เป็น​ต้นไป)

ข้อ​ 5 ​ค่ารับรอง​หรือ​ค่าบริการ​นั้น​ ​ต้อง​มีกรรมการ​หรือ​ผู้​เป็น​หุ้น​ส่วน​หรือ​ผู้​จัดการ​ ​หรือ​ผู้​ได้​รับมอบหมาย​จาก​บุคคลดังกล่าว​เป็น​ผู้​อนุมัติ​หรือ​สั่งจ่ายค่ารับรอง​ ​หรือ​ค่าบริการ​นั้น​ด้วย​ ​และ​ต้อง​มี​ใบรับ​หรือ​หลักฐานของ​ผู้​รับสำ​หรับเงินที่จ่าย​เป็น​ค่ารับรอง​หรือ​เป็น​ค่าบริการเว้นแต่​ใน​กรณีที่​ผู้​รับเงิน​ไม่​มีหน้าที่​ต้อง​ออกใบรับตามประมวลรัษฎากร​

ข้อ​ 6 ​กฎกระทรวง​ฉบับ​นี้​ให้​ใช้​บังคับสำ​หรับรอบระยะ​เวลาบัญชี​เริ่ม​ใน​หรือ​หลังวันที่​ 1 ​มกราคม​ ​พ​.​ศ​. 2522 ​เป็น​ต้นไป​

ให้​ไว้​ ​ณ​ ​วันที่​ 5 ​กัน​ยายน​ ​พ​.​ศ​. 2522

ชาญชัย​ ​ลี้ถาวร
รัฐมนตรี​ช่วย​ว่าการฯ​ ​รักษาราชการแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
____________________________________________________________________
หมายเหตุ​ :- เหตุผล​ใน​การประกาศ​ใช้​กฎกระทรวง​ฉบับ​นี้​ ​คือ​ ​เพื่อกำ​หนดหลักเกณฑ์​ใน​การนำ​ค่ารับรอง​หรือ​ค่าบริการมาหัก​เป็น​รายจ่าย​ใน​การคำ​นวณกำ​ไรสุทธิ​เพื่อเสียภาษี​เงิน​ได้​นิติบุคคลตามมาตรา​ 65 ​ตรี​ (5) ​แห่งประมวลรัษฎากร​ ​ซึ่ง​แก้​ไขเพิ่มเติม​โดย​พระราชกำ​หนดแก้​ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร​ ​(​ฉบับ​ที่​ 5) ​พ​.​ศ​. 2521 ​จึง​จำ​เป็น​ต้อง​ออกกฎกระทรวงนี้​
(ร​.​จ​. ​เล่ม​ 96 ​ตอนที่​ 156 ​วันที่​ 13 ​กัน​ยายน​ 2522)