- รับสมัครนักศึกษาหรือผู้ที่ต้องการทำงานพิเศษ (Part Time)
- คีย์ข้อมูลบัญชี / คีย์ข้อมูลเงินเดือน
- อัตราีค่าตอบแทนวันละ 300-500 บาท ขึ้นอยู่กับประสบการณ์
- ทำงานวันจันทร์-ศุกร์ ได้ (ไม่จำเป็นต้องทำทุกวัน)
- มีที่พักแถวมีนบุรี หรือสถานที่ใกล้เคียง พิจารณาเป็นพิเศษ
- ติดต่อสอบถามได้ที่ 080-268-7000 หรือ 089-890-2929
- ดูแผนที่และ emial คลิ๊กที่นี่
รับสมัครนักศึกษาฝึกงาน หรือ ทำงาน Part Time
วิธีตรวจธนบัตรปลอม
สิ่งต่อไปนี้จะปรากฏอยู่บน ธนบัตรของจริงค่ะ
1. ลายน้ำ พระบรมสาทิสลักษณ์ มองเห็นได้ชัดเจน เมื่อยกส่องกับแสงสว่าง และรูปลายไทยจะโปร่งแสงเป็นพิเศษ
2. แถบสีโลหะในเนื้อกระดาษ นำเนื้อกระดาษตามแนวตั้ง เมื่อยกส่องกับแสงสว่าง จะเห็นตัวเลขและตัวอักษรโปร่งแสง
3. พิมพ์เส้นนูน พระบรมสาทิสลักษณ์ ตัวอักษรและตัวเลขแจ้งราคา เมื่อสัมผัสด้วยปลายนิ้วจะรู้สึกสะดุด
4. ตัวเลขแฝง ซึ่งอยู่ในลายไทย มองเห็นได้เมื่อยกธนบัตรเอียงเข้าหาแสงสว่าง โดยมองจากมุมล่างซ้ายเข้าหากึ่งกลางธนบัตร
5. ภาพซ้อนทับพิมพ์แยกส่วนไว้บนด้านหน้าและด้านหลัง เมื่อ ยกส่องกับแสงจะมองเห็นภาพสวยงาม โดยแบงก์พันจะเป็นรูปดอกบัว แบงก์ 500 เป็นรูปดอกพุดตาล แบงก์ 100 เป็นตัวเลข 100 แบงก์ 50 เป็นตัวเลข 50 แบงก์ 20 เป็นตัวเลข 20
6. ตัวเลขจิ๋ว บรรจุในตัวเลขไทยด้านหน้า มองเห็นได้ชัดเจนด้วยแว่นขยาย
7. แทบฟอยล์ สีเงินมองเห็นเป็นหลายมิติ และสะท้อนแสงเมื่อพลิกไปมา
8. หมึกพิมพ์พิเศษ ตัว เลข 1000 จะมองเห็น ด้านบนสีทอง ด้านล่างสีเขียว เมื่อพลิกขอบล่างขึ้นจะเห็นเป็นสีเขียวทั้งหมด ส่วนแบงก์ 500 ตัวเลข 500 จะมองเห็นตัวเลขสีเขียว เมื่อพลิกขอบล่างจะมองเห็นเป็นสีม่วง นอกจากนี้ ยังมีวิธีนำบริเวณลอยนูนของแบงก์ เช่น คำว่ารัฐบาลไทย ถูกับกระดาษสีขาว ของจริงจะปรากฏสีให้เห็น
คลิ๊กที่รูปเพื่อดูภาพขนาดใหญ่
Refer..http://www.bot.or.th/Thai/Banknotes/production_and_security/Pages/identify.aspx
สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ผลกระทบต่อผู้ฝากเงิน
การฝากเงินกับธนาคารถือเป็นรูปแบบหนึ่งในการออม ที่ได้รับความนิยมจากประชาชนทั้งรายใหญ่และรายย่อยอย่างมาก เพราะผู้ฝากเงินส่วนใหญ่จะรู้สึกว่าเงินที่ฝากไว้กับธนาคารจะไม่มีความเสี่ยงในการสูญหายเนื่องจากรัฐบาลจะเป็นผู้คุ้มครองเงินฝากทั้งจำนวนให้แก่ผู้ฝากเงิน อย่างไรก็ตาม การให้ความคุ้มครองเงินฝากเพื่อรักษาความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อสถาบันการเงินในประเทศ ถือเป็นภาระอันหนักหน่วงของรัฐบาลที่จะต้องรับผิดชอบต่อความผิดพลาดในการดำเนินการของธนาคาร ดังนั้น พ.ร.บ. สถาบันคุ้มครองเงินฝากเกิดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
1.เสริมสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินจนเป็นที่แน่ใจว่าผู้ฝากเงินจะไม่ตื่นตระหนกและไม่เร่งถอนเงินฝากในกรณีที่สถาบันการเงินมีปัญหา
2.ส่งเสริมให้ผู้ฝากเงินคำนึงถึงความมั่นคงและผลประกอบการของสถาบันการเงิน นอกเหนือจากที่มุ่งเน้นดอกเบี้ยเงินฝาก
3.เสริมมาตรการกำกับดูแลความมั่นคงอย่างครบวงจรให้แก่สถาบันการเงินเพื่อดำเนินการอย่างระมัดระวัง และไม่เป็นภาระภาษีแก่ประชาชน
แนวทางการจัดตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝากคือ การคุ้มครองผู้ฝากเงินในสถาบันการเงิน หากสถาบันการเงินนั้นประสบกับภาวะล้มละลาย ผู้ฝากเงินจะได้รับการจ่ายคืนเงินโดยเร็วตามจำนวนที่คุ้มครอง แต่สิ่งที่จะเปลี่ยนไปคือ การคุ้มครองเงินฝากทั้งจำนวนจะไม่มีอีกแล้ว เพราะสถาบันคุ้มครองเงินฝากจะคุ้มครองเงินฝากในวงเงินที่จำกัดเท่านั้น สำหรับนโยบายของสถาบันคุ้มครองเงินฝากจะค่อยๆ ลดวงเงินที่สถาบันจะคุ้มครอง จากทั้งจำนวนจนกระทั่งเหลือ 1 ล้านบาท ต่อ 1 บุคคลต่อ 1 ธนาคาร ภายใน 5 ปี สรุปได้ดังนี้
เมื่อการคุ้มครองเงินฝากอยู่ในวงเงินที่จำกัดผู้ฝากเงินที่มีเงินฝากจำนวนเกินกว่าที่รัฐให้ความคุ้มครอง ก็จะต้องพิจารณาเลือกธนาคารที่จะเข้าไปฝากเงินด้วยปัจจัยที่หลากหลายมากขึ้น อาทิ ความมั่นคงของธนาคาร สถานะทางการเงิน ความสามารถ ประวัติ และชื่อเสียงของผู้บริหาร เป็นต้น โดยผู้ฝากเงินสามารถศึกษาความมั่นคงของธนาคารแต่ละแห่งได้จากอันดับความน่าเชื่อถือ ซึ่งจัดทำโดยสถาบันจัดอันดับที่มีชื่อเสียง เช่น S&P Tris และ Fitch เป็นต้น
ทั้งนี้ ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ในปี 2550 ประเทศไทยมีเงินฝากทั้งระบบ 6.56 ล้านล้านบาท จาก ผู้ฝากเงินทั้งหมด 52.59 ล้านราย การคุ้มครองเงินฝากตามวงเงินดังกล่าว สามารถครอบคลุมผู้ฝากเงินส่วนใหญ่ของประเทศ ดังนี้
แหล่งที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย
เมื่อเห็นตัวเลขอย่างนี้แล้ว ประชาชนส่วนใหญ่คงไม่ต้องวิตกกังวลมากเกินไปนัก เพราะความคุ้มครองวงเงิน 1 ล้านบาท ที่กล่าวมานั้นครอบคลุมบัญชีเงินฝากของประชาชนทั่วประเทศกว่า 98% แต่ส่วนที่เหลือต้องเลือกธนาคารที่มีความมั่นคง ไม่ใช่เลือกธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยสูงเพียงอย่างเดียว และต้องกระจายเงินฝากออกไปในธนาคารต่างๆ มากขึ้น รวมถึงกระจายเงินไปยังการลงทุนประเภทอื่นๆ ด้วย เช่น พันธบัตรรัฐบาล กองทุนรวม เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในแง่ของธนาคารผู้รับฝากเงิน ต่อไปเราคงจะเห็นศึกแย่งชิงลูกค้าเงินฝาก ซึ่งธนาคารต่างๆ โดยเฉพาะธนาคารขนาดเล็กคงจะต้องแข่งขันกันให้ดอกเบี้ยสูง เพื่อจูงใจและแย่งชิงลูกค้า
ที่มา.. TISCO Asset Management Co.,Ltd.
การใช้งานภาษาไทยในแบบฟอร์ม PDF
แบบฟอร์มที่อยู่ในรูป PDF ไฟล์และถูกจัดเก็บในแบบของฟอร์ม ซึ่งจะมีช่องให้เรากรอกข้อมูลลงไปได้ เช่น แบบฟอร์มภาษีของสรรพากร ปกติถ้าเราพิมพ์ภาษาไทยลงไป มันจะไม่ขึ้นหรือขึ้นเป็นข้อความขยะ วิธีแก้ไขต้องติดตั้งโปรแกรมเพิ่มเติม เนื่องจากโปรแกรม Arcobat ที่ติดตั้งมันไม่รู้จักภาษาไทย เราจำเป็นต้องติดตั้งส่วนประกอบของโปรแกรมเพิ่มเติมลงไป คือ
- Package AdbeRdrSD80_all (คลิ๊กเพื่อดาวน์โหลด)
ถ้ายังไม่สามารถใช้งานภาษาไทย ให้ลงตัวนี้เพิ่มลงไปอีก
- FontPack80_Xtd_Lang (คลิ๊กเพื่อดาวน์โหลด)
ส่วนประกอบของโปรแกรมข้างต้นเป็นของ Arcobat Reader Version 8.0
- Acrobat Reader V.8.0 (คลิ๊กเพื่อดาวน์โหลด)
แต่ถึงจะใช้ภาษาไทยได้ เราก็จะไม่สามารถ Save ไฟล์ได้ เนื่องจากโปรแกรมที่ให้ download เป็นฟรีแวร์ ถ้าต้องการ Save ไฟล์ได้ ต้องใช้เวอร์ชั่นเต็ม
ถูกเลิกจ้าง เพราะนำรถประจำตำแหน่งไปใช้งานส่วนตัว
เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อ "นายเฟื่องฟู" หนุ่มใหญ่ที่น่าจะเฟื่องฟูได้เหมือนชื่อ พี่แกมีลูกเมีย มีหน้าที่การงานทำเป็นหลักฐาน อยู่ในบริษัทที่ไม่เล็กในเมืองไทย แต่ใช้ชื่อฝรั่งตามกระแส นิยม ตำแหน่งคงไม่ย่อยเพราะบริษัทจัดรถไว้ให้ใช้อีกด้วย
ความเฟื่องฟูของชีวิตนั้น จะว่าง่ายก็ดูเหมือนง่าย หากระมัดระวังในการดำเนินชีวิตของเรา ทุกย่างก้าว ไม่อยู่ในความประมาท จะว่ายากก็ยาก เพราะเส้นทางของคนเรา ไม่ได้โรยด้วยกลีบ กุหลาบ แม้กระทั่งคนอย่างท่านขงเบ้ง ผู้หยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทรของจีนในสมัย "สามก๊ก" ก็ กระอักเลือด แก้ปัญหาไม่ตก ค้ำชูทายาทของท่านเล่าปี่ ที่ได้รับการฝากฝัง ให้รุ่งเรืองปลอดภัย ไม่ได้ ช้ำใจตายก่อนวัยอันควร เพราะความไม่เอาไหนของคนรอบข้างส่วนหนึ่ง
นายเฟื่องฟู ก็ทำท่าจะไม่เฟื่องฟู เพราะยึดถือเอาความมักง่ายเป็นที่ตั้ง นำรถที่บริษัทมอบไว้ ให้ใช้งานในหน้าที่ พาครอบครัวไปท่องเที่ยว รถเกิดอุบัติเหตุเสียหายแยะ ยังดีที่คนบนรถรอด ตาย รถต้องเข้าอู่ซ่อมนาน 2 สัปดาห์ แน่นอนนายจ้างโกรธจัด นายเฟื่องฟู จึงตกงานอย่าง กะทันหัน
คนเราส่วนใหญ่ในสมัยนี้หรือสมัยไหนก็แล้วแต่ เกิดเหตุผิดพลาดขึ้นมา มักจะโทษคนอื่นไว้ก่อน นายเฟื่องฟู ก็เช่นกัน พอตกงานก็ล้งเล้งถือว่านายจ้างทำกับตนไม่ถูกต้อง จะมาไล่ออกจากงาน ได้อย่างไร แบบนี้ต้องฟ้องศาลให้เห็นดำเห็นแดง
ศาลซึ่งเป็นองค์กรที่คอยค้ำจุนบ้านเมืองอย่างสำคัญ บ้านเมืองไหนศาลไม่เข้มแข็ง พังเอาง่ายๆ แต่เจ้ากรรมศาลมักจะเป็นที่พึ่งของคนที่คิดผิด ทำผิดอยู่เสมอ นายเฟื่องฟู ไปที่ศาลแรงงานกลาง ยื่นฟ้องบริษัทผู้เป็นนายจ้าง อ้างว่าไม่มีสิทธิ์ไล่ นายเฟื่องฟู ออกจากงานแบบไม่ให้ตั้งตัว เขาไม่ ได้ทำผิด รถที่เสียหายเป็นเรื่องอุบัติเหตุทั่วไป เกิดขึ้นได้เสมอ เรียกร้องให้บริษัทจ่ายเงินค่าชดเชย เงินค่าจ้าง ฐานไม่บอกกล่าวล่วงหน้าว่าจะไล่ออก พร้อมกับค่าจ้างค้างจ่าย
บริษัทตกเป็นจำเลยซะงั้นแหละ ต้องหาทนายสู้คดี อ้างว่า นายเฟื่องฟู ไม่ซื่อตรงต่อหน้าที่ ฝ่าฝืน ระเบียบและคำสั่งของบริษัทอย่างแรง จึงไล่ออกได้ ไม่ต้องจ่ายอะไรทั้งนั้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแบบสบายๆ ไม่เครียดเหมือนคดีการเมือง แล้วชี้ว่า นายเฟื่องฟู นำรถยนต์อันเป็นทรัพย์สินของบริษัทไปใช้ธุระส่วนตัว โดยไม่เกี่ยวกับการทำงานแล้วเกิด อุบัติเหตุ ทำให้รถยนต์ได้รับความเสียหาย บริษัทไม่มีรถยนต์ใช้ เป็นการไม่ซื่อตรงต่อการปฏิบัติ หน้าที่ ถือเป็นการฝ่าฝืนระเบียบและคำสั่งของบริษัทในกรณีร้ายแรง บริษัทมีสิทธิ์เลิกจ้าง นายเฟื่องฟู ได้ โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตาม พรบ. คุ้มครองแรงงาน ปี 2541 มาตรา 119 (4) และถือเป็นการทำผิดร้ายแรง จำเลยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตาม กฎหมายแพ่ง มาตรา 583 ให้บริษัทจ่ายเฉพาะค่าจ้างที่ค้างจ่าย
นายเฟื่องฟู ฟ้องแล้วจะได้เงินแค่หมื่นกว่าบาท ไม่ได้หลายแสนบาทตามที่ตั้งไว้จะเอามาเป็น ทุนเดินหางานใหม่ จึงเล่นเกมยาว ยื่นอุทธรณ์ไปยังศาลฎีกา ตามประสาของคดีแรงงาน
ศาลฎีกาเพ่งดูคดีนี้จนหน้ามืดเล็กน้อย แล้วชี้ขาดออกมาว่า
คดีนี้ศาลต้องขบให้แตกว่า นายเฟื่องฟู ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับ เกี่ยวกับการทำงานหรือคำสั่ง อันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมของบริษัท เข้าข่ายร้ายแรงหรือไม่ เมื่อดูระเบียบข้อ บังคับเกี่ยวกับการทำงานของบริษัท (ซึ่งบริษัทต่างๆ ต้องมีไว้ ไม่งั้นเสียงานและการต่อสู้คดี- ผมขอแนะนำ) เรื่องวินัย โทษทางวินัยและการพนักงานข้อ 1.4.3 ระบุว่า "พนักงานต้องไม่นำ อุปกรณ์หรือทรัพย์สินของบริษัท ฯ ไปใช้นอกเหนือจากการทำงานให้แก่บริษัท โดยไม่ได้รับ อนุญาตจากผู้บังคับบัญชา"
ศาลเห็นว่า นายเฟื่องฟู นำรถยนต์ที่บริษัทเช่ามาให้ทำงานของบริษัท ขับพาลูกเมีย ของตนโจทก์ไปเที่ยวแล้วเกิดอุบัติเหตุ ทำให้รถยนต์ได้รับความเสียหายอย่างมาก เป็นการนำรถยนต์ของบริษัทไปใช้ส่วนตัวโดยไม่ได้ทำงานให้แก่บริษัท และไม่ได้รับ อนุญาต เป็นการไม่ซื่อตรงต่อการปฏิบัติหน้าที่ อาศัยตำแหน่งหน้าที่นำรถยนต์ของบริษัท ไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว จนก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท ทำให้ไม่มีรถยนต์ใช้งานนานถึง 2 สัปดาห์ ถือว่าฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในกรณีร้ายแรง บริษัทสามารถ เลิกจ้าง นายเฟื่องฟู ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย และไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอก กล่าวล่วงหน้า ได้เฉพาะค่าจ้างค้างจ่ายตามที่ศาลล่างว่าไว้ กับดอกเบี้ยเท่านั้น
จำไว้นะครับ รถประจำตำแหน่งทำให้ได้รับความเดือดร้อนมานักแล้ว โดยเฉพาะคนที่ ทำงานในบริษัท ห้างร้าน ทั้งหลาย หรือในรัฐวิสาหกิจ ส่วนรถประจำตำแหน่งของฝ่าย ข้าราชการนั้นไม่เท่าไร เห็นเอาไปจ่ายตลาด เอาไปใช้ส่วนตัวได้สบายอยู่แล้ว ตำแหน่ง ใหญ่เท่าไร ยิ่งสบายเท่านั้นแล
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 389/2548ที่มา http://www.autoinfo.co.th/page/th/article_event/detail.php?id=26461
7 ประเภทผู้นำที่องค์กรต้องการ
สำหรับผู้แต่งหรือเขียนบทความนี้คือ David Rooke และ William R.Torbert ชื่อบทความคือ Seven Transformations of Leadership จากประสบการณ์ของผู้แต่งและจากการสำรวจแบบสอบถามผู้จัดการและผู้เชี่ยวชาญกว่า 1,000 ราย ในอเมริกาและยุโรป ที่มีอายุระหว่าง 25-55 ปี ผู้แต่งได้แบ่งผู้นำ ออกเป็น 7 ประเภท ดังนี้
1. นักฉวยโอกาส (Opportunist) มีอยู่ประมาณ 5% มีนิสัยเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่ฟังผู้อื่น มองโลกในแง่ร้าย ใช้เลห์เหลี่ยมกลอุบายทุกรูปแบบเพื่อให้ได้มาซื่งตำแหน่งฐานะและการยอมรับ การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นจะต้องอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์อย่างเดียว มองเพื่อนร่วมงานหัวหน้าและลูกน้องเป็นเพียงวัตถุที่ต้องแสวงหาผลประโยชน์ เป็นพวกบ้าอำนาจ ไม่ยอมผู้อื่น ชอบข่มขู่ ควบคุมผู้อื่น มองโลกแคบ
2. นักการทูต (Diplomat) มีอยู่ประมาณ 12% น่าจะเป็นอีกด้านหนึ่งของนักฉวยโอกาส คือแทนที่จะควบคุมบังคับผู้อื่น แต่ใช้วิธีการบังคับการแสดงออกของตัวเองแทน ชอบเอาใจนาย ประจบนาย ชอบสร้างภาพ เป็นคนสุภาพเรียบร้อย ที่สำคัญจะไม่เอาเรื่องวุ่นวายมาบอกนาย (ถ้าบอกก็จะใช้วิธีเลี่ยง กลัวเจ้านายไม่สบายใจ) ผู้จัดการประเภทนี้จะไม่มีปัญหามากในที่ประชุม เป็นคนเงียบ ไม่บอกปัญหาซึ่งอาจสร้างความเสียหายให้กับองค์กรได้
3. ผู้ชำนาญการณ์ (Expert) มีอยู่ประมาณ 38% เป็นผู้มีความรู้ความชำนาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเฉพาะ และจะควบคุมผู้อื่นด้วยความรู้จริงของตนเอง มักจะคิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองแน่ ตัวอย่างเช่นคนในอาชีพ นักบัญชี นักวิเคราห์การลงทุน นักวิจัยด้านการตลาด โปรแกรมเมอร์ คนประเภทนี้ จะเป็นประเภทรู้จริง ชอบการพัฒนาปรับปรุง มีประสิทธิภาพในการทำงานสูง ชอบทำงานของตัวเองให้ดีที่สุด ข้อเสียคือ มีความมั่นใจในตัวเองมากเกินไป คิดว่าตัวเองรู้มากกว่าผู้อื่น
4. ผู้จัดการ (Achiever) มีอยู่ประมาณ 30% เป็นคนที่ได้รับมอบหมายให้ทำงานใดทำงานหนึ่งได้ดีภายในเวลาที่กำหนดไว้ สามารถสร้างความสามัคคีกลมเกลียว สร้างทีมเวิค์ล สร้างบรรยากาศในการทำงาน รับฟังความคิดเห็นของลูกน้อง ทำงานกับผู้อื่นได้ดี ข้อเสียคือเป็นผู้ที่ทำงานแบบรายวันได้ดี ไม่ค่อยมีวิสัยทัศน์ไกล ไม่สามารถคิดนอกกรอบได้ กลัวการสูญเสียอำนาจ กลัวว่าจะทำงานไม่ตรงกับที่ฝ่ายบริหารต้องการ ซึ่งจะทำให้ไม่เจริญก้าวหน้าในงาน ไม่ชอบเสนอสิ่งที่อยู่นอกขอบเขตความความรับผิดชอบของตนเอง
5. ปัจเฉกบุคคล (Individualist) มีอยู่ประมาณ 10% เป็นพวกชอบทำงานคนเดียว ไม่ไว้ใจผู้อื่น แต่ก็เป็นคนที่มองโลก 2 ด้านเสมอ ชอบทำงานแบบ One man show เป็นคนทำงานเก่ง มีจิตนาการสูง เป็นผู้ผลักดันงานได้ดี เป็นคนประเภท ยอมหักไม่ยอมงอ ไม่ยอมผู้อื่น มีความเชื่อมั่นใจตัวเองสูงเกินไป ไม่ยอมให้ใครมาขัดขวางการทำงานหรือความคิดของตน พวกนี้จะสร้างศตรูไว้มาก ชอบการปะทะโต้แย้ง ชอบความขัดแย้ง มักมีปัญหากับเพื่อนร่วมงานเสมอ
6. นักวางแผน (Strategist) มีอยู่ประมาณ 4% เป็นคนที่เข้าใจองค์กรได้เป็นอย่างดี เข้าใจว่า อะไรทำได้อะไรทำไม่ได้ เป็นคนมีวิสัยทัศน์ มีความารถในการพัฒนาลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน ให้สามารถทำงานเพื่อองค์กร สามารถรับความขัดแย้งได้ทุกรูปแบบ เป็นคนเก่ง สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับองค์กรได้ เห็นภาพรวมขององค์กรได้ทั้งหมด เป็นคนมีคุณธรรม
7. นักเล่นแร่แปรธาตุ (Alchemist) มีอยู่ประมาณ 1% ถือว่าเป็นผู้นำที่ดีที่สุด Great Leader พร้อมที่จะพัฒนาตัวเอง พัฒนาองค์กร และเป็นคนไม่ยอมหยุดนิ่ง สามารถปรับปรุง แก้ไข ประยุกต์ หรือสร้างใหม่ มีการทำงานแบบไร้รูปแบบที่แน่นอน ปรับเปลี่ยนได้ตลอดตามแต่ที่องค์กรมีอยู่ (คน วัตถุ สิ่งของ) รับได้ทุกสถานการณ์ ไม่มีความขัดแย้ง ไม่มีความอึดอัด เข้าได้กับทุกระดับ รู้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา เป็นคนมีคุณธรรมสูงมาก
.
พรบ.ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ฉบับที่ 18/2551
แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ๑๘)
พ.ศ. ๒๕๕๑
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๑
เป็นปีที่ ๖๓ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ
ให้ประกาศว่าโดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๕๑”
มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันประกาศ
ในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๐๒๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา ๑๐๒๐ บุคคลทุกคนเมื่อได้เสียค่าธรรมเนียมตามที่กำหนดในกฎกระทรวงแล้ว
ชอบที่จะตรวจเอกสารซึ่งนายทะเบียนเก็บรักษาไว้ได้ หรือจะขอให้คัดสำเนาหรือเนื้อความในเอกสาร
ฉบับใด ๆ พร้อมด้วยคำรับรองว่าถูกต้องมอบให้ก็ได้
ผู้มีส่วนได้เสียของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทใด ๆ เมื่อได้เสียค่าธรรมเนียมตามที่กำหนดใน
กฎกระทรวงแล้ว ชอบที่จะขอให้นายทะเบียนทำใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้นให้ก็ได้”
มาตรา ๔ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๐๒๓ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา ๑๐๒๓ ผู้เป็นหุ้นส่วนก็ดี ห้างหุ้นส่วนก็ดี หรือบริษัทก็ดื จะถือเอาประโยชน์แก่
บุคคลภายนอกเพราะเหตุที่มีสัญญาหรือเอกสาร หรือข้อความอันบังคับให้จดทะเบียนตามลักษณะนี้ยังไม่ได้ จนกว่าจะได้จดทะเบียนแล้ว แต่ฝ่ายบุคคลภายนอกจะถือเอาประโยชน์เช่นว่านั้นได้แต่ถึงกระนั้นก็ดี ผู้เป็นหุ้นส่วน ผู้ถือหุ้น ห้างหุ้นส่วน หรือบริษัทซึ่งได้รับชำระหนี้ก่อนจดทะเบียนนั้นย่อมไม่จำต้องคืน”
มาตรา ๕ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๑๐๒๓/๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
“มาตรา ๑๐๒๓/๑ ห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจะยกมาตรา ๑๐๒๓ ขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอก
ผู้สุจริตเพื่อไม่ให้ต้องรับผิดโดยอ้างว่าผู้เป็นหุ้นส่วน ห้างหุ้นส่วน บริษัทหรือกรรมการไม่มีอำนาจกระทำการมิได้”
มาตรา ๖ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๐๙๗ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา ๑๐๙๗ บุคคลใด ๆ ตั้งแต่สามคนขึ้นไปจะเริ่มก่อการและตั้งเป็นบริษัทจำกัดก็ได้โดยเข้าชื่อกันทำหนังสือบริคณห์สนธิ และกระทำการอย่างอื่นตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้”
มาตรา ๗ ให้ยกเลิกวรรคห้าของมาตรา ๑๑๑๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๘ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๑๑๑๑/๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์
“มาตรา ๑๑๑๑/๑ ในการจัดตั้งบริษัท ถ้าได้ดำเนินการครบทุกขั้นตอนดังต่อไปนี้ภายใน
วันเดียวกับวันที่ผู้เริ่มก่อการจัดทำหนังสือบริคณห์สนธิ กรรมการจะขอจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิ
และจดทะเบียนบริษัทไปพร้อมกันภายในวันเดียวกันก็ได้
(๑) จัดให้มีผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นครบตามจำนวนหุ้นทั้งหมดที่บริษัทจะจดทะเบียน
(๒) ประชุมจัดตั้งบริษัทเพื่อพิจารณากิจการต่าง ๆ ตามมาตรา ๑๑๐๘ โดยมีผู้เริ่มก่อการและผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นทุกคนเข้าร่วมประชุม และผู้เริ่มก่อการและผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นทุกคนให้ความเห็นชอบในกิจการที่ได้ประชุมกันนั้น
(๓) ผู้เริ่มก่อการได้มอบกิจการทั้งปวงให้แก่กรรมการ
(๔) กรรมการได้เรียกให้ผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นใช้เงินค่าหุ้นตามมาตรา ๑๑๑๐ วรรคสอง และเงินค่าหุ้นดังกล่าวได้ใช้เสร็จแล้ว”
มาตรา ๙ ให้ยกเลิกมาตรา ๑๑๔๗ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๐ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๑๗๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา ๑๑๗๕ คำบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ให้ลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่อย่างน้อยหนึ่งคราวก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน และส่งทางไปรษณีย์ตอบรับไปยังผู้ถือหุ้นทุกคนที่มีชื่อในทะเบียนของบริษัทก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน เว้นแต่เป็นคำบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่เพื่อลงมติพิเศษ ให้กระทำการดังว่านั้นก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าสิบสี่วัน คำบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่นั้น ให้ระบุสถานที่ วัน เวลา และสภาพแห่งกิจการที่จะได้ประชุมปรึกษากัน และในกรณีที่เป็นคำบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่เพื่อลงมติพิเศษให้ระบุข้อความที่จะนำเสนอให้ลงมติด้วย”
มาตรา ๑๑ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๑๙๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา ๑๑๙๔ การใดที่กฎหมายกำหนดให้ต้องทำโดยมติพิเศษ ที่ประชุมใหญ่ต้องลงมติในเรื่องนั้นโดยคะแนนเสียงข้างมากไม่ต่ำกว่าสามในสี่ของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน”
มาตรา ๑๒ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๒๐๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา ๑๒๐๔ การบอกกล่าวว่าจะปันผลอย่างใด ๆ อันได้อนุญาตให้จ่ายนั้น ให้บริษัทมี
จดหมายบอกกล่าวไปยังตัวผู้ถือหุ้นที่ปรากฏชื่ออยู่ในทะเบียนผู้ถือหุ้นทุกคน แต่ในกรณีที่บริษัทมีหุ้น
ชนิดที่มีใบหุ้นออกให้แก่ผู้ถือ ให้โฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่อย่างน้อยหนึ่งคราวด้วย”
มาตรา ๑๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๒๒๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา ๑๒๒๖ เมื่อบริษัทประสงค์จะลดทุน ต้องโฆษณาความประสงค์นั้นในหนังสือพิมพ์
แห่งท้องที่อย่างน้อยหนึ่งคราว และต้องมีหนังสือบอกกล่าวไปยังบรรดาผู้ซึ่งบริษัทรู้ว่าเป็นเจ้าหนี้ของ
บริษัท บอกให้ทราบรายการซึ่งประสงค์จะลดทุนลงและขอให้เจ้าหนี้ผู้มีข้อคัดค้านอย่างหนึ่งอย่างใด
ในการลดทุนนั้น ส่งคำคัดค้านไปภายในสามสิบวันนับแต่วันที่บอกกล่าวนั้น
ถ้าไม่มีผู้ใดคัดค้านภายในกำหนดเวลาสามสิบวัน ก็ให้พึงถือว่าไม่มีการคัดค้าน
ถ้าหากมีเจ้าหนี้คัดค้าน บริษัทจะจัดการลดทุนลงไม่ได้ จนกว่าจะได้ใช้หนี้หรือให้ประกันเพื่อ
หนี้รายนั้นแล้ว”
มาตรา ๑๔ ให้ยกเลิกความใน (๔) ของมาตรา ๑๒๓๗ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“(๔) ถ้าจำนวนผู้ถือหุ้นลดน้อยลงจนเหลือไม่ถึงสามคน”
มาตรา ๑๕ ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา ๑๒๔๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา ๑๒๔๐ บริษัทต้องโฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่อย่างน้อยหนึ่งคราว และส่ง
คำบอกกล่าวไปยังบรรดาผู้ซึ่งบริษัทรู้ว่าเป็นเจ้าหนี้ของบริษัท บอกให้ทราบรายการที่ประสงค์จะควบ
บริษัทเข้ากัน และขอให้เจ้าหนี้ผู้มีข้อคัดค้านอย่างหนึ่งอย่างใดในการควบบริษัทเข้ากันนั้นส่งคำคัดค้าน
ไปภายในหกสิบวันนับแต่วันที่บอกกล่าว”
มาตรา ๑๖ ให้ยกเลิกส่วนที่ ๑๑ การถอนทะเบียนบริษัทร้าง มาตรา ๑๒๔๖ ของหมวด ๔
ในลักษณะ ๒๒ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๗ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นส่วนที่ ๑๒ การแปรสภาพห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนและ
ห้างหุ้นส่วนจำกัดเป็นบริษัทจำกัด มาตรา ๑๒๔๖/๑ มาตรา ๑๒๔๖/๒ มาตรา ๑๒๔๖/๓
มาตรา ๑๒๔๖/๔ มาตรา ๑๒๔๖/๕ มาตรา ๑๒๔๖/๖ และมาตรา ๑๒๔๖/๗ ของหมวด ๔
ในลักษณะ ๒๒ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
“ส่วนที่ ๑๒
การแปรสภาพห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนและห้างหุ้นส่วนจำกัด
เป็นบริษัทจำกัด
มาตรา ๑๒๔๖/๑ ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนหรือห้างหุ้นส่วนจำกัดที่มีผู้เป็นหุ้นส่วนตั้งแต่
สามคนขึ้นไปอาจแปรสภาพเป็นบริษัทจำกัดได้ โดยความยินยอมของผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนและดำเนินการ
ดังต่อไปนี้
(๑) แจ้งความยินยอมของผู้เป็นหุ้นส่วนที่จะให้แปรสภาพห้างหุ้นส่วนเป็นบริษัทจำกัด
เป็นหนังสือต่อนายทะเบียนภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนให้ความยินยอม
(๒) ประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่อย่างน้อยหนึ่งคราว และมีหนังสือบอกกล่าว
ไปยังบรรดาผู้ซึ่งรู้ว่าเป็นเจ้าหนี้ของห้างหุ้นส่วนบอกให้ทราบรายการที่ประสงค์จะแปรสภาพ
ห้างหุ้นส่วนเป็นบริษัท และขอให้เจ้าหนี้ผู้มีข้อคัดค้านอย่างหนึ่งอย่างใดในการแปรสภาพเป็นบริษัท
จำกัดนั้น ส่งคำคัดค้านไปภายในสามสิบวันนับแต่วันที่บอกกล่าวนั้น
ถ้ามีการคัดค้าน ห้างหุ้นส่วนนั้นจะแปรสภาพมิได้จนกว่าจะได้ชำระหนี้หรือให้ประกันเพื่อ
หนี้นั้นแล้ว
มาตรา ๑๒๔๖/๒ ในกรณีไม่มีการคัดค้านหรือมีการคัดค้านแต่ห้างหุ้นส่วนได้ชำระหนี้หรือ
ให้ประกันเพื่อหนี้นั้นแล้ว ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนต้องประชุมเพื่อให้ความยินยอมและดำเนินการในเรื่อง
ดังต่อไปนี้
(๑) จัดทำหนังสือบริคณห์สนธิและข้อบังคับของบริษัท (ถ้ามี)
(๒) กำหนดจำนวนทุนเรือนหุ้นของบริษัท ซึ่งต้องเท่ากับส่วนลงหุ้นของผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคน
ในห้างหุ้นส่วน และกำหนดจำนวนหุ้นของบริษัทที่จะตกได้แก่หุ้นส่วนแต่ละคน
(๓) กำหนดจำนวนเงินที่ได้ใช้แล้วในแต่ละหุ้น ซึ่งต้องไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าแห่งมูลค่า
ของหุ้นแต่ละหุ้นที่ตั้งไว้
(๔) กำหนดจำนวนหุ้นสามัญหรือหุ้นบุริมสิทธิ รวมทั้งกำหนดสภาพและบุริมสิทธิของหุ้น
ซึ่งจะออกและจัดสรรหุ้นให้แก่ผู้เป็นหุ้นส่วน
(๕) แต่งตั้งกรรมการและกำหนดอำนาจของกรรมการ
(๖) แต่งตั้งผู้สอบบัญชี
(๗) ดำเนินการในเรื่องอื่น ๆ ที่จำเป็นในการแปรสภาพ
ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง ให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับบริษัทจำกัดว่าด้วยการนั้น ๆ มาใช้
บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๑๒๔๖/๓ หุ้นส่วนผู้จัดการเดิมต้องส่งมอบกิจการ ทรัพย์สิน บัญชีเอกสารและ
หลักฐานต่าง ๆ ของห้างหุ้นส่วนให้แก่คณะกรรมการบริษัท ภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่ผู้เป็นหุ้นส่วน
ได้ให้ความยินยอมและดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ตามมาตรา ๑๒๔๖/๒ เสร็จสิ้นแล้ว
ในกรณีที่ผู้เป็นหุ้นส่วนยังไม่ได้ชำระเงินค่าหุ้นหรือชำระเงินค่าหุ้นไม่ครบร้อยละยี่สิบห้า
ของมูลค่าหุ้น หรือยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สิน หรือทำเอกสารหลักฐานการใช้สิทธิต่าง ๆ
ให้แก่คณะกรรมการ ให้คณะกรรมการบริษัทมีหนังสือแจ้งให้ผู้เป็นหุ้นส่วนชำระเงินค่าหุ้น โอนกรรมสิทธิ์
หรือทำเอกสารหลักฐานการใช้สิทธิต่าง ๆ แล้วแต่กรณี ให้แก่คณะกรรมการภายในสามสิบวันนับแต่
วันที่ได้รับหนังสือแจ้ง
มาตรา ๑๒๔๖/๔ คณะกรรมการบริษัทต้องขอจดทะเบียนการแปรสภาพเป็นบริษัทจำกัดต่อ
นายทะเบียน ภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่ได้ดำเนินการตามมาตรา ๑๒๔๖/๓ ครบถ้วนแล้ว
ในการขอจดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทจำกัด คณะกรรมการต้องยื่นรายงานการประชุม
ที่ผู้เป็นหุ้นส่วนได้ร่วมกันพิจารณาให้ความยินยอมและดำเนินการแปรสภาพห้างหุ้นส่วนเป็น
บริษัทจำกัดตามมาตรา ๑๒๔๖/๒ หนังสือบริคณห์สนธิ ข้อบังคับ และบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น พร้อมกับ
การขอจดทะเบียนด้วย
มาตรา ๑๒๔๖/๕ เมื่อนายทะเบียนได้รับจดทะเบียนการแปรสภาพห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนหรือห้างหุ้นส่วนจำกัดเป็นบริษัทจำกัดแล้ว ให้ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน หรือห้างหุ้นส่วนจำกัดเดิมหมดสภาพการเป็นห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนหรือห้างหุ้นส่วนจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
และให้นายทะเบียนหมายเหตุไว้ในทะเบียน
มาตรา ๑๒๔๖/๖ เมื่อห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนหรือห้างหุ้นส่วนจำกัดได้จดทะเบียนแปรสภาพ
เป็นบริษัทจำกัดแล้ว บริษัทย่อมได้ไปทั้งทรัพย์สิน หนี้ สิทธิ และความรับผิดของห้างหุ้นส่วน
จดทะเบียนหรือห้างหุ้นส่วนจำกัดเดิมทั้งหมด
มาตรา ๑๒๔๖/๗ เมื่อจดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทจำกัดแล้ว หากบริษัทไม่สาม ารถ
ชำระหนี้ที่รับมาจากห้างหุ้นส่วนที่แปรสภาพได้ ให้เจ้าหนี้บังคับชำระหนี้เอาจากผู้เป็นหุ้นส่วน
ในห้างหุ้นส่วนที่แปรสภาพได้ตามที่ผู้เป็นหุ้นส่วนจะต้องรับผิดในหนี้ของห้างหุ้นส่วน”
มาตรา ๑๘ ให้ยกเลิกความใน (๑) ของมาตรา ๑๒๕๓ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“(๑) บอกกล่าวแก่ประชาชนโดยประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่อย่างน้อย
หนึ่งคราวว่าห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้นได้เลิกกันแล้วและให้ผู้เป็นเจ้าหนี้ทั้งหลายยื่นคำทวงหนี้แก่
ผู้ชำระบัญชี”
มาตรา ๑๙ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นหมวด ๖ การถอนทะเบียนห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน
ห้างหุ้นส่วนจำกัด และบริษัทจำกัดร้าง มาตรา ๑๒๗๓/๑ มาตรา ๑๒๗๓/๒ มาตรา ๑๒๗๓/๓
และมาตรา ๑๒๗๓/๔ ในลักษณะ ๒๒ หุ้นส่วนและบริษัท แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
“หมวด ๖
การถอนทะเบียนห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน
ห้างหุ้นส่วนจำกัด และบริษัทจำกัดร้าง
มาตรา ๑๒๗๓/๑ เมื่อใดนายทะเบียนมีมูลเหตุอันควรเชื่อว่าห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน
ห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือบริษัทจำกัดใด มิได้ทำการค้าขายหรือประกอบการงานแล้ว ให้นายทะเบียน
มีหนังสือส่งทางไปรษณีย์ตอบรับไปยังห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท เพื่อสอบถามว่ายังทำการค้าขายหรือ
ประกอบการงานอยู่หรือไม่ และแจ้งว่าหากมิได้รับคำตอบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ส่งหนังสือ
จะได้โฆษณาในหนังสือพิมพ์เพื่อขีดชื่อห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้นออกเสียจากทะเบียน
ถ้านายทะเบียนได้รับคำตอบจากห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้นว่า ห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทมิได้ทำ
การค้าขายหรือประกอบการงานแล้วหรือมิได้รับคำตอบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ส่งหนังสือ
ให้นายทะเบียนโฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่อย่างน้อยหนึ่งคราวและส่งหนังสือบอกกล่าวทาง
ไปรษณีย์ตอบรับไปยังห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทว่า เมื่อพ้นเวลาเก้าสิบวันนับแต่วันที่ส่งหนังสือบอกกล่าว
ห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้นจะถูกขีดชื่อออกจากทะเบียน เว้นแต่จะแสดงเหตุให้เห็นเป็นอย่างอื่น
มาตรา ๑๒๗๓/๒ ในกรณีที่ห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทเลิกกันแล้วและอยู่ระหว่างการชำระบัญชี
หากนายทะเบียนมีมูลเหตุอันควรเชื่อว่าไม่มีตัวผู้ชำระบัญชีทำการอยู่ หรือการงานของห้างหุ้นส่วนหรือ
บริษัทได้ชำระสะสางตลอดแล้ว แต่ผู้ชำระบัญชีมิได้ทำรายงานการชำระบัญชี หรือมิได้ยื่นจดทะเบียน
เสร็จการชำระบัญชีต่อนายทะเบียน ให้นายทะเบียนมีหนังสือส่งทางไปรษณีย์ตอบรับไปยังห้างหุ้นส่วน
หรือบริษัท และผู้ชำระบัญชี ณ สถานที่อันปรากฏเป็นสำนักงานสุดท้าย แจ้งให้ดำเนินการเพื่อให้มี
ตัวผู้ชำระบัญชี หรือยื่นรายงานการชำระบัญชี หรือจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี แล้วแต่กรณี และ
แจ้งว่าหากมิได้ดำเนินการดังกล่าวภายในระยะเวลาหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่ส่งหนังสือนั้นแล้ว
จะได้โฆษณาในหนังสือพิมพ์เพื่อขีดชื่อห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้นออกเสียจากทะเบียน
ถ้าห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท หรือผู้ชำระบัญชีมิได้ดำเนินการภายในกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง
ให้นายทะเบียนโฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่อย่างน้อยหนึ่งคราว และส่งหนังสือบอกกล่าวทาง
ไปรษณีย์ตอบรับไปยังห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทและผู้ชำระบัญชีว่าเมื่อพ้นกำหนดเวลาเก้าสิบวันนับแต่
วันที่ส่งหนังสือบอกกล่าว ห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้นจะถูกขีดชื่อออกจากทะเบียน เว้นแต่จะแสดงเหตุ
ให้เห็นเป็นอย่างอื่น
มาตรา ๑๒๗๓/๓ เมื่อสิ้นกำหนดเวลาตามที่แจ้งในหนังสือบอกกล่าวตามมาตรา ๑๒๗๓/๑
หรือมาตรา ๑๒๗๓/๒ แล้ว และห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท หรือผู้ชำระบัญชีมิได้แสดงเหตุให้เห็นเป็น
อย่างอื่น นายทะเบียนจะขีดชื่อห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้นออกเสียจากทะเบียนก็ได้ ในการนี้
ให้ห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้นสิ้นสภาพนิติบุคคลตั้งแต่เมื่อนายทะเบียนขีดชื่อห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทออก
เสียจากทะเบียน แต่ความรับผิดของหุ้นส่วนผู้จัดการ ผู้เป็นหุ้นส่วน กรรมการ ผู้จัดการ และผู้ถือหุ้น
มีอยู่เท่าไรก็ให้คงมีอยู่อย่างนั้นและพึงเรียกบังคับได้เสมือนห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้นยังมิได้สิ้นสภาพ
นิติบุคคล
มาตรา ๑๒๗๓/๔ ถ้าห้างหุ้นส่วน ผู้เป็นหุ้นส่วน บริษัท ผู้ถือหุ้น หรือเจ้าหนี้ใด ๆ ของ
ห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้นรู้สึกว่าต้องเสียหายโดยไม่เป็นธรรมเพราะการที่ห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทถูก
ขีดชื่อออกจากทะเบียน เมื่อห้างหุ้นส่วน ผู้เป็นหุ้นส่วน บริษัท ผู้ถือหุ้นหรือเจ้าหนี้ยื่นคำร้องต่อศาล
และศาลพิจารณาได้ความเป็นที่พอใจว่าในขณะที่ขีดชื่อห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทออกจากทะเบียน
ห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทยังทำการค้าขายหรือยังประกอบการงานอยู่ หรือเห็นเป็นการยุติธรรมในการที่
จะให้ห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทได้กลับคืนสู่ทะเบียนก็ดี ศาลจะสั่งให้จดชื่อห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทกลับคืน
เข้าสู่ทะเบียนก็ได้ และให้ถือว่าห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้นยังคงอยู่ตลอดมาเสมือนมิได้มีการขีดชื่อ
ออกเลย โดยศาลจะสั่งและวางข้อกำหนดไว้เป็นประการใด ๆ ตามที่เห็นเป็นการยุติธรรมด้วยก็ได้
เพื่อให้ห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทและบรรดาบุคคลอื่น ๆ กลับคืนสู่ฐานะอันใกล้ที่สุดกับฐานะเดิมเสมือน
ห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้นมิได้ถูกขีดชื่อออกจากทะเบียนเลย
การร้องขอให้ห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทกลับคืนสู่ทะเบียน ห้ามมิให้ร้องขอเมื่อพ้นกำหนดสิบปี
นับแต่วันที่นายทะเบียนขีดชื่อห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทออกจากทะเบียน”
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
บรรพ ๓ ลักษณะ ๒๒ ว่าด้วยหุ้นส่วนและบริษัทใช้บังคับมาเป็นเวลานาน บทบัญญัติบางมาตราสร้างภาระ
โดยไม่จำเป็นแก่ประชาชนและก่อให้เกิดความยุ่งยาก ซ้ำซ้อน และความล่าช้าต่อการปฏิบัติหน้าที่ของ
ส่วนราชการ นอกจากนี้ ยังเป็นอุปสรรคต่อการเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันของประเทศอีกด้วย
ดังนั้น เพื่อขจัดปัญหาและอุปสรรคดังกล่าวและเพื่อให้การดำเนินกิจการค้าในรูปแบบของห้างหุ้นส่วนและบริษัท
มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
ดูกฎหมายฉบับทางการ http://excelwb.files.wordpress.com/2008/04/18-2551.pdf