แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ จดทะเบียนบริษัท แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ จดทะเบียนบริษัท แสดงบทความทั้งหมด

จดทะเบียนบริษัทภายใน 1 วัน จากเดิมใช้เวลา 8 วัน จริงหรือ?

เนื่องจากกระทรวงพาณิชย์ได้ออกเอกสาร “การจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทภายในวันเดียว” ทำให้มีผู้ประกอบการหลายคนเข้าใจไปตามนั้น มีคนโทรมาถามว่าถ้าส่งเอกสาร (สำเนาบัตรประชาชน, สำเนาทะเบียนบ้าน) ให้วันนี้ พรุ่งนี้จดทะเบียนบริษัทได้เลยหรือเปล่า คำตอบก็คือ “ไม่ได้” หลายคนก็สงสัยว่าทำไมไม่ได้ ในเมื่อกระทรวงพาณิชย์บอกเองว่า สามารถจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทภายใน 1 วันได้

เราลองมาดูคำอธิบายเพิ่มเติมกันนะครับ

แต่เดิมการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ต้องใช้เวลาในการจด 2 วัน (หรือ 2 ครั้ง) ครั้งแรก ต้องจดหนังสือบริคณห์สนธิก่อน หลังจากนั้นจึงออกหนังสือนัดประชุมตั้งบริษัท โดยต้องบอกกล่าวล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน หลังการประชุมแล้ว จึงมาขอจดทะเบียนตั้งบริษัทในครั้งที่ 2 หรือรวมระยะเวลาในการจดห่างจากครั้งแรก รวมเป็น 8 วัน

ปัจจุบันกระทรวงพาณิชย์ได้ยกเลิกการแยกจดหนังสือบริคณห์สนธิกับการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทแล้ว โดยให้นำเอกสารทั้งสองส่วนที่แยกกันจด มาจดพร้อมกันในวันเดียว จึงกลายเป็นว่าสามารถจดทะเบียนบริษัทเสร็จภายใน 1 วัน ซึ่งหมายความว่า เมื่อเอกสารทุกอย่างจัดเตรียมพร้อมแล้วสามารถนำไปจดที่กระทรวงพาณิชย์ให้เสร็จได้ภายในวันเดียว (แต่เอกสารต้องถูกต้อง ครบถ้วนนะครับ)

ขั้นตอนการจดทะเบียนบริษัทให้เสร็จภายในวันเดียว เรามาดูก่อนว่า ต้องทำยังไงบ้าง แล้วใช้เวลากี่วันกันแน่?

  1. จองชื่อนิติบุคคล (ชื่อบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนจำกัด) เนื่องจากชื่อนิติบุคคลซ้ำกันไม่ได้ ดังนั้นเราจึงต้องมีชื่อนิติบุคคลก่อน โดยตั้งชื่อภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ส่งให้นายทะเบียนตรวจสอบก่อน (ยืนขอทางอินเตอร์เน็ตก็ได้) ขั้นตอนนี้ใช้เวลาเฉลี่ยแล้วประมาณ 2 วัน (บางทีก็มากกว่า 2 วัน) ถ้าชื่อที่ขอไม่ผ่าน ก็ต้องจองใหม่
  2. หลังจากได้ชื่อนิติบุคคลแล้ว ก็มาจัดเตรียมเอกสารรวมทั้งจัดทำตรายาง ขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 1 วัน
  3. ส่งเอกสารให้ผู้ประกอบการเซ็น (ผู้ถือหุ้นและกรรมการต้องเซ็นทุกคน) ขั้นตอนนี้ไม่แน่นอนบางทีก็ใช้เวลาวันเดียว บางทีก็ต้องทิ้งเอกสารไว้ 2-3 วันก็มี
  4. ไปจดทะเบียนที่กระทรวงพาณิชย์ อีก 1 วัน

เพราะฉะนั้นเมื่อรวมทุกขั้นตอนแล้ว เร็วสุดก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 4 วันครับ

เรามาดูปัญหาที่พบบ่อยๆ ในการจดทะเบียนบริษัทที่ทำให้ไม่สามารถจดทะเบียนบริษัทได้ (นายทะเบียนปฏิเสธ) การจดทะเบียนเนื่องจากเหตุผลดังนี้

  • ตรายางผิด ใช้คำย่อ หจก. บจก. หรือ ตัวอักษรเล็กมากแล้วใช้ตัวอักษรแบบพิเศษ เวลาปั๊มมาทำให้ตัวอักษรบางตัวเพี้ยนไป เช่น r s เวลาปั๊มมาจะเป็น เส้นตรง ฯลฯ
  • บัตรประชาชนไม่ชัด ภาพถ่ายดำมองไม่เห็นหน้า วันออกบัตร วันหมดอายุ อ่านไม่ออก (ไม่รู้ว่าบัตรหมดอายุหรือยัง) หรือชื่อที่อยู่อ่านไม่ออก (ตรวจสอบที่อยู่ไม่ได้)

ผู้เขียน: เกียรติชัย

การเปลี่ยนแปลงการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

กรณี มีการเปลี่ยนแปลงรายการที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในส่วนที่เป็นสาระ สำคัญ ซึ่งได้แก่ การเลิกกิจการ การโอนหรือควบกิจการ การเปลี่ยนแปลงประเภทของการประกอบการ การเปลี่ยนแปลงประเภทสินค้าหรือบริการ การเปลี่ยนแปลงการคำนวณภาษี รวมถึงการเปลี่ยนแปลงรายการอื่น ๆ เช่น การเปลี่ยนชื่อสถานประกอบการ การเปลี่ยนแปลงกรรมการหรือผู้ถือหุ้น (ผู้มีอำนาจลงนาม) หรือการหยุดกิจการชั่วคราว (มีกำหนดระยะเวลาภายใน 1 ปี) ผู้ประกอบการจดทะเบียนมีหน้าที่ต้องแจ้งการเปลี่ยนแปลงนั้น ภายใน 15 วัน นับจากวันที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น สำหรับกรณีการย้ายสถานประกอบการ, การรับโอนกิจการ, การเพิ่มสาขา จะต้องแจ้งก่อนมีการเปลี่ยนแปลงไม่น้อยกว่า 15 วัน โดยกรอกแบบแจ้งการเปลี่ยนแปลงทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามแบบภ.พ.09 พร้อมเอกสารประกอบการพิจารณา ณ สถานที่ที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไว้

เอกสาร ที่ใช้ประกอบการพิจารณา

            (1)   แบบแจ้งการเปลี่ยนแปลงทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.09) จำนวน 4 ฉบับ

            (2)   ใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) ฉบับจริงพร้อมภาพถ่ายเอกสารดังกล่าว

            (3)   สำเนาแบบคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเดิม (ภ.พ.01) หรือสำเนาแบบคำขอแจ้งการเปลี่ยนแปลงรายการ(ภ.พ.09) ครั้งสุดท้าย

            (4)   บัตรประจำตัวผู้เสียภาษีอากรพร้อมภาพถ่ายบัตรดังกล่าว

            (5)   หนังสือรับรองของนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท (กรณีเป็นนิติบุคคล) พร้อมภาพถ่ายหนังสือดังกล่าว

            (6)   หนังสือแสดงการเปลี่ยนชื่อ ชื่อสกุล (กรณีเป็นบุคคลธรรมดา) พร้อมภาพถ่ายหนังสือดังกล่าว

            (7)   บัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนบ้านของผู้ประกอบการ หรือกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม พร้อมภาพถ่ายเอกสารดังกล่าว

            (8)   กรณีมอบอำนาจให้ผู้อื่นทำการแทน ต้องมีหนังสือมอบอำนาจปิดอากรแสตมป์ 10 บาท บัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจ พร้อมภาพถ่ายบัตรดังกล่าว โดยผู้รับมอบอำนาจอำนาจต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป

            (9)   กรณีหยุดกิจการชั่วคราว ต้องมีหนังสือจากผู้ประกอบการชี้แจงเหตุผลในการหยุดกิจการ พร้อมประทับตรานิติบุคคลและลงนามโดยกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม

ที่มา.. http://www.rd.go.th/publish/7053.0.html

การให้บริการเริ่มต้นธุรกิจ ณ จุดเดียว (Single Point)

วันที่ 19 สิงหาคม 2553

เรื่อง การให้บริการเริ่มต้นธุรกิจ ณ จุดเดียวกัน (Single Point)ในโครงการพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลการเริ่มต้นธุรกิจ (e- Starting Business

การให้บริการเริ่มต้นธุรกิจ ณ จุดเดียวกัน (Single Point)

โครงการพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลการเริ่มต้นธุรกิจ (e- Starting Business)

---------------------------------------------------------------------------------------------

1. ที่มา และแนวทางความร่วมมือดำเนินการพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลการเริ่มต้นธุรกิจ (e- Starting Business)

1.1 ตามที่รัฐบาลมีนโยบายด้านเศรษฐกิจในการเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขันและการสร้างความ เชื่อมั่นด้านการลงทุน ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2552 ได้เห็นชอบให้หน่วยงานภาครัฐดำเนินการปรับปรุงกระบวนการให้บริการเพื่อเพิ่ม ขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจภายในประเทศ และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนต่างประเทศที่จะเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทย ซึ่งตามรายงานผลการประกอบธุรกิจ (Doing Business) ของธนาคารโลก (World Bank) ในปี 2553 ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในลำดับที่ 12 จากจำนวน 183 ประเทศ รัฐบาลจึงมีนโยบายที่ต้องการให้ประเทศไทย เป็นประเทศที่ง่ายต่อการทำธุรกิจ (Ease of Doing Business) อันจะส่งผลต่อการจัดอันดับของประเทศไทยให้สูงขึ้นจากเดิมในลำดับที่ 12 เป็นลำดับที่ 9 ของโลก

1.2 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) จึงได้มอบหมายให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ประสานความร่วมมือกับกรมสรรพากร และสำนักงานประกันสังคม ซึ่งเป็น 3 หน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องกับการเริ่มต้นธุรกิจ โดยได้จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU) เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2553 เพื่อพัฒนาระบบออกเลขทะเบียนของทั้ง 3 หน่วยงาน ได้แก่ เลขทะเบียนนิติบุคคล (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า) เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร (กรมสรรพากร) และเลขที่บัญชีนายจ้าง (สำนักงานประกันสังคม)

1.3 โครงการดังกล่าวได้กำหนดแนวทางดำเนินการเป็น 2 ระยะ คือ

ระยะที่ 1 การให้บริการ ณ จุดเดียวกัน (Single Point) การใช้แบบฟอร์มร่วมกัน (Single Form) การใช้เอกสารประกอบชุดเดียวกัน(Single Document) โดยให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าให้บริการจดทะเบียนนิติบุคคล ขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร และเลขที่บัญชีนายจ้าง

ระยะที่ 2 การใช้ระบบเลขทะเบียนเดียวกัน (Single Number) ทั้ง 3 หน่วยงาน กำหนดแล้วเสร็จปี 2554

ขณะนี้ระยะที่ 1 ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ และได้จัดให้มีมีพิธีเปิดบริการเริ่มต้นธุรกิจ ณ จุดเดียวกัน (Single Point) เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2553 โดย ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ได้กรุณาให้เกียรติเป็นประธาน

2.การให้บริการ Single Point

  1. สามารถเปิดให้บริการ ณ จุดเดียวกัน(Single Point) ณ ส่วนจดทะเบียนธุรกิจกลาง(สนามบินน้ำ) ในวันที่ 6 กรกฎาคม 2553
  2. สามารถเปิดให้บริการ ณ จุดเดียวกัน (Single Point) ในเขตกรุงเทพมหานคร ณ สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าเขต 1-5 (ปิ่นเกล้า, พระราม 6, รัชดาภิเษก, สีลม, สุรวงศ์) และสำนักงานสาขา (หอการค้าไทย, ศูนย์ส่งออกเบ็ดเสร็จ และศูนย์ OSOS) ในวันที่ 22 กรกฎาคม 2553
  3. กำหนดเปิดให้บริการ ณ จุดเดียวกัน (Single Point) ในส่วนภูมิภาค ณ สำนักพัฒนาธุรกิจการค้าจังหวัดทั้ง 75 จังหวัด ในวันที่ 1 ตุลาคม 2553

3.ประโยชน์ที่ได้รับจากโครงการฯ

  1. ประโยชน์ที่ประชาชนได้รับ
    1. ลดขั้นตอนการเริ่มต้นธุรกิจจาก 7 ขั้นตอน เหลือ 5 ขั้นตอน
    2. ลดระยะเวลาการจดทะเบียนเริ่มต้นธุรกิจจาก 4 วัน เหลือ 90 นาที
    3. ประหยัดเวลาของประชาชนที่ต้องติดต่อ 3 หน่วยงาน เหลือ 1 หน่วยงาน
    4. ผู้ประกอบการที่ขอจดจัดตั้งนิติบุคคลจะได้รับเลขทะเบียนนิติบุคคลพร้อมเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร และเลขที่บัญชีนายจ้าง ทั้งนี้เลขทะเบียนนิติบุคคลจะเป็นเลขเดียวกัน กับเลขที่บัญชีนายจ้าง ซึ่งมีผลทางกฎหมายเมื่อผู้ประกอบการมีลูกจ้างเท่านั้น
  2. ประโยชน์ที่ประเทศชาติได้รับ
    1. เป็นประเทศที่ง่ายต่อการเริ่มต้นธุรกิจ
    2. เป็นจุดเริ่มต้นการบูรณาการของภาครัฐในการให้บริการแบบ Single Point อย่างแท้จริง
    3. เป็นจุดเริ่มต้นของการแลกเปลี่ยนข้อมูลของหน่วยงานภาครัฐ
    4. ใช้ทรัพยากรของรัฐอย่างคุ้มค่า เช่น บุคลากร เทคโนโลยี
    5. ลดการใช้กระดาษ (Less Paper)
    6. นำไปสู่ e-Government

สำนักทะเบียนธุรกิจ
ศูนย์ให้คำปรึกษาด้านทะเบียนธุรกิจ

DBD E-Newsletter

คำแนะนำการปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายของห้างหุ้นส่วนจำกัด

  1. ป้ายชื่อ ดวงตรา และเอกสารของห้างฯ จะต้องมีคำว่า “ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล” หรือ “ห้างหุ้นส่วนจำกัด” ตามประเภทของห้างฯ
  2. การลงหุ้นของผู้เป็นหุ้นส่วนต้องถูกต้องตามความเป็นจริงและตรงกับรายการที่ขอจดทะเบียน
  3. หลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำบัญชี งบการเงิน และการนำส่งงบการเงินตามที่กฎหมายกำหนด ดังนี้
    1. การจัดทำบัญชีของห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล และห้างหุ้นส่วนจำกัดที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
      1. จัดให้มีผู้ทำบัญชีที่มีคุณสมบัติตามที่อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าประกาศ กล่าวคือ ผู้ทำบัญขีของห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ซึ่ง ณ วันปิดบัญชีในรอบปีบัญชีที่ผ่านมามีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท สินทรัพย์รวมไม่เกิน 30 ล้านบาท และรายได้รวมไม่เกิน 30 ล้านบาท ต้องมีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าอนุปริญญาหรือประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ทางการบัญชีหรือเทียบเท่าจากสถานการศึกษา ซึ่งทบวงมหาวิทยาลับหรือคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (กพ.) หรือ กระทรวงศึกษาธิการเทียบว่าไม่ต่ำกว่าอนุปรญญาหรือประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวส.) ทางการบัญชี แต่ถ้าห้างฯ มีทุนจดทะเบียนหรือสินทรัพย์รวมหรือรายได้รวมรายการใดรายหนึ่งเกินกว่าที่กำหนดข้างต้น ผู้ทำบัญชีต้องมีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีทางการบัญชีหรือเทียบเท่าจากสถาบันการศึกษาซึ่งทบวงมหาวิทยาลัยหรือคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (กพ.) หรือกระทรวงศึกษาธิการเทียบว่าไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีทางการบัญชี
      2. จัดทำและรวบรวมเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีเพื่อเป็นหลักฐานในการบันทึกบัญชีและส่งมอบให้ผู้ทำบัญชีให้ถูกต้องครบถ้วน
      3. ควบคุมดูแลผู้ทำบัญชีให้จัดบัญชีให้ตรงต่อความเป็นจริงและถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้บัญชีที่จัดทำขึ้นแสดงผลการดำเนินงาน ฐานะการเงิน หรือการเปลี่ยนแปลงฐานะการเงิน ตามความเป็นจริงและตามมาตรฐานการบัญชี
    2. เริ่มทำบัญชีนับแต่วันที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย โดยจะต้องจัดทำบัญชีตามที่กำหนดในประกาศกรมทะเบียนการค้า เรื่องกำหนดชนิดของบัญชีที่ต้องจัดทำ ข้อความและรายการที่ต้องมีในบัญชี ระยะเวลาที่ต้องลงรายการในบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชี พ.ศ.2544
    3. ปิดบัญชีครั้งแรกภายใน 12 เดือนนับแต่วันที่มีหน้าที่จัดทำบัญชี คือนับแต่วันที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย และปิดบัญชีครั้งต่อไปทุกรอบ 12 เดือนนับแต่วันปิดบัญชีครั้งก่อน
    4. จัดทำงบการเงิน โดยมีรายการย่อตามที่กำหนดในแบบ 1 ตามประกาศกรมทะเบียนการค้า เรื่องกำหนดรายการย่อที่ต้องมีในงบการเงิน พ.ศ.2544 และจัดให้มีผุ้สอบบัญชีอนุญาตตรวจสอบ และแสดงความเห็นต่องบการเงินด้วย เว้นแต่กรณีที่งบการเงินของห้างฯ ที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท สินทรัพย์รวมไม่เกิน 30 ล้านบาท และรายได้รวมไม่เกิน 30 ล้านบาท ไม่ต้องจัดให้มีผู้สอบบัญชีรับอนุญาตตรวจสอบและการแสดงความเห็นต่องบการเงินที่มีรอบปีบัญชีสิ้นสุดในหรือหลังวันที่ 31 ธันวาคม 2545 เป็นต้นไป
    5. นำส่งงบการเงินภายใน 5 เดือนนับแต่วันที่ปิดบัญชี โดยดำเนินการดังนี้
      1. กรณีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ให้ยื่นที่สำนักบริการข้อมูลธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า อาคาร 3 ชั้น 3 ห้อง 30303
      2. กรณีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเขตท้องที่จังหวัดอื่น ให้ยื่นที่สำนักงานพัฒนาธุรกิจจังหวัดที่ธุรกิจตั้งอยู่ หรือยื่นที่สำนักบริการข้อมูลธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า อาคาร 3 ชั้น 3 ห้อง 30303  (การยื่นงบการเงิน อาจยื่นโดยตรงต่อเจ้าหน้าที่หรือส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับไปยังสถานที่ดังกล่าวข้างต้นพร้อมแนบซองที่จ่าหน้ากลับคืนถึงตัวผู้รับพร้อมผนึกดวงตราไปรษณียากรให้ครบถ้วน)
    6. เก็บรักษาบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีไว้ ณ สถานที่ทำการ หรือสถานที่ที่ใช้เป็นที่ทำการผลิตหรือเก็บสินค้าเป็นประจำ หรือสถานที่ที่ใช้เป็นที่ทำงานเป็นประจำ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี นับแต่วันปิดบัญชี กรณีที่จำเป็นในการตรวจสอบบัญชีของกิจการประเภทใดประเภทหนึ่ง อธิบดีโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีอาจกำหนดให้เก็บรักษาบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีไว้เกิน 5 ปี แต่ไม่เกิน 7 ปีก็ได้
  4. การดำเนินการเกี่ยวกับบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชี ที่มีผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีจะต้องขออนุญาตต่อสารวัตรใหญ่บัญชีหรือสารวัตรบัญชีประจำสำนักงานบัญชีประจำท้องที่ตามกฎหมายกำหนด มีดังนี้
    1. การขออนุญาตเปลี่ยนรอบปีบัญชี จะต้องยื่นคำขอตามแบบ ส.บช.4 พร้อมด้วยเอกสารหลักฐานตามที่ได้ระบุไว้ในแบบดังกล่าว เมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงจะเปลี่ยนรอบปีบัญชีได้
    2. การขออนุญาตเก็บรักษาบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีไว้ ณ สถานที่อื่น จะต้องยื่นคำขอตามแบบ ส.บช.1 พร้อมด้วยเอกสารหลักฐานตามที่ได้ระบุไว้ในแบบดังกล่าว โดยในระหว่างรอการอนุญาตให้ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีเก็บรักษาบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีไว้ ณ สถานที่ที่ยื่นขออนุญาตไปพลางก่อนได้ หากต่อมาได้นำบัญชีหรือเอกสารประกอบการลงบัญชีนั้นทั้งหมด หรือส่วนใดส่วนหนึ่งไปเก็บรักษาไว้ ณ สถานที่ตามข้อ 3.6 ให้แจ้งการเปลี่ยนแปลงนั้นภายใน 15 วัน นับแต่วันที่มีการเปลี่ยนแปลง
    3. การแจ้งบัญชีหรือเอกสารประกอบการลงบัญชีสูญหายหรือเสียหาย จะต้องยื่นแบบ ส.บช.2 พร้อมด้วยเอกสารหลักฐานตามที่ได้ระบุไว้ในแบบดังกล่าวภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ทราบหรือควรทราบถึงการสูญหายหรือเสียหายนั้น
  5. การเปลี่ยนแปลงที่ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล/ห้างหุ้นส่วนจำกัดต้องไปจดทะเบียน แก้ไขเพิ่มเติมต่อนายทะเบียน ได้แก่
    1. การควบห้างหุ้นส่วน
    2. การเปลี่ยนแปลงห้างหุ้นส่วน (เพิ่มทุน/ลดทุน)
    3. การเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ของห้างหุ้นส่วน
    4. การเปลี่ยนแปลงดวงตราของห้างหุ้นส่วน
    5. การเปลี่ยนแปลงผู้เป็นหุ้นส่วน
    6. การเปลี่ยนแปลงหุ้นส่วนผู้จัดการ/ข้อจำกัดอำนาจหุ้นส่วนผู้จัดการ
    7. การเปลี่ยนแปลงที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ และ/หรือสำนักงานสาขา
    8. การเปลี่ยนแปลงรายการอื่นๆ ที่เห็นสมควรให้ประชาชนทราบ
  6. การเลิกห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล/ห้างหุ้นส่วนจำกัด ต้องไปจดทะเบียนต่อนายทะเบียนเช่นกันโดยดำเนินการตามขั้นตอน หลักเกณฑ์และวิธีการตามที่กฎหมายกำหนด จนเสร็จสิ้นการชำระบัญชี และห้างฯ ต้องไปจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีต่อนายทะเบียนด้วย จึงจะถือว่าห้างฯ นั้นเลิกกิจการตามผลของกฎหมายโดยสมบูรณ์
ที่มา..เอกสารประชาสัมพันธ์

คำแนะนำการปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายของบริษัทจำกัด

  1. ป้ายชื่อ ดวงตรา และเอกสารของบริษัทฯ จะต้องมีคำว่า “บริษัท” ไว้หน้าชื่อและคำว่า “จำกัด” ไว้ท้ายชื่อ และให้มีป้ายชื่อไว้ ณ สถานที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ และหากเป็นที่ตั้งสำนักงานสาขาก็ต้องจัดให้มีป้ายชื่อไว้เช่นเดียวกัน โดยระบุว่าเป็น “สาขา” ไว้เช่นเดียวกัน

  2. แสดงใบสำคัญการจดทะเบียน ไว้ ณ สำนักงานแห่งใหญ่ ในลักษณะที่เห็นได้ง่ายและชัดเจน

  3. จัดทำใบหุ้นมอบให้แก่ผู้ถือหุ้น มีข้อความที่ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด

  4. จัดทำสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นเก็บไว้ ณ สำนักงานแห่งใหญ่ ตามที่จดทะเบียนไว้ และลงรายการในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นตามที่กฎหมายกำหนด

  5. จัดให้มีการประชุมผู้ถือ หุ้นภายใน 6 เดือน นับแต่ได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ฯ และต่อไปให้มีการประชุมอย่างน้อย 1 ครั้งในทุกระยะ 12 เดือน

  6. จดบันทึกรายงานการประชุม และข้อมติทั้งหมดของที่ประชุมผู้ถือหุ้น และของที่ประชุมกรรมการให้ถูกต้อง และเก็บไว้ ณ สำนักงานของบริษัทที่ได้จดทะเบียนไว้

  7. จัดทำสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ณ วันประชุมผู้ถือหุ้น (อนุมัติงบดุล) ส่งต่อนายทะเบียนภายใน 14 วัน นับแต่วันประชุม

  8. จัดให้มีการทำบัญชีตามประเภทของการประกอบธุรกิจ โดยมีรายละเอียดหลักเกณฑ์ และวิธีการตามที่กฎหมายกำหนด ดังนี้
    1. การจัดทำบัญชี บริษัทต้องจัดให้มีผู้ทำบัญชีที่มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งนี้ บริษัทต้องควบคุมดูแลผู้ทำบัญชีให้จัดทำบัญชีให้ตรงต่อความเป็นจริง และถูกต้องตาม กฎหมายโดยบัญชีของบริษัทต้องแสดงผลการดำเนินงาน ฐานะการเงิน หรือการ เปลี่ยนแปลงฐานะการเงินตามความเป็นจริง และตามมาตรฐานการบัญชี
    2. เริ่มทำบัญชีนับแต่วันที่ได้รับการจด ทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย โดยมีชนิดของ บัญชีข้อความและรายการในบัญชี ระยะเวลาในการลงรายการในบัญชี และเอกสาร ประกอบการลงบัญชีตามที่กฎหมายกำหนด
    3. ปิดบัญชีครั้งแรกภายใน 12 เดือน นับแต่วันที่มีหน้าที่จัดทำบัญชี และปิดบัญชีครั้งต่อไป ทุกรอบ 12 เดือนนับแต่วันปิดบัญชีครั้งก่อน และในกรณีบริษัทมีข้อบังคับระบุรอบปีบัญชีไว้ บริษัทจะต้องปิดบัญชีตามข้อบังคับนั้น
    4. จัดทำงบการเงิน โดยมีรายการย่อตามที่อธิบดีประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของ รัฐมนตรีและจัดให้มีผู้สอบบัญชีรับอนุญาตตรวจสอบและแสดงความเห็น
    5. นำส่งงบการเงินภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่งบการเงินได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นของ บริษัท การนำส่งงบการเงินของบริษัท ให้ดำเนินการดังนี้
      (5.1) กรณีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ให้ส่งต่อสำนักบริการข้อมูลธุรกิจ กรมทะเบียนการค้า
      (5.2) กรณีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเขตท้องที่จังหวัดอื่น ให้ส่งต่อสำนักงานทะเบียน การค้าจังหวัดนั้น หรือส่งต่อสำนักบริการข้อมูลธุรกิจ กรมทะเบียนการค้า
    6. เก็บรักษาบัญชีและเอกสารประกอบการลง บัญชีไว้ ณ สถานที่ทำการ หรือสถานที่ที่ใช้เป็นที่ทำการผลิตหรือเก็บสินค้าเป็นประจำ หรือสถานที่ที่ใช้เป็นที่ทำงานเป็นประจำ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปีนับแต่วันปิดบัญชี กรณีที่จำเป็นในการตรวจสอบบัญชี อธิบดีโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีอาจกำหนดให้เก็บรักษาบัญชีไว้เกิน 5 ปีแต่ไม่เกิน 7 ปีก็ได้
  9. การดำเนินการเกี่ยวกับบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีที่ต้องขออนุญาตตามกฎหมายก่อน มีดังนี้
    (1) ขออนุญาตเปลี่ยนรอบปีบัญชี
    (2) ขออนุญาตเก็บรักษาบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีไว้นอกสถานที่ประกอบธุรกิจ
    (3) แจ้งบัญชีหรือเอกสารประกอบการลงบัญชีสูญหายหรือเสียหาย

  10. การเปลี่ยนแปลงที่บริษัทมหาชนจำกัดต้องไปจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมต่อนายทะเบียน ได้แก่
    (1) การเปลี่ยนแปลงทุนชำระแล้ว (เพิ่มทุน/ลดทุน)
    (2) การเปลี่ยนแปลงข้อบังคับของบริษัท
    (3) การเปลี่ยนแปลงดวงตราของบริษัท
    (4) การเปลี่ยนแปลงกรรมการเข้า/ออก
    (5) การเปลี่ยนแปลงชื่อและจำนวนกรรมการ ซึ่งมีอำนาจลงลายมือชื่อแทนบริษัทและ ข้อจำกัดอำนาจกรรมการ
    (6) การเปลี่ยนแปลงที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ และ/หรือสำนักงานสาขา
    (7) การเปลี่ยนแปลงรายการอื่นๆ ที่เห็นสมควรให้ประชาชนทราบ

  11. การเลิกบริษัทมหาชนจำกัด ต้องไปจดทะเบียนต่อนายทะเบียนเช่นกัน โดยดำเนินการตามขั้นตอน หลักเกณฑ์ และวิธีการตามที่กฎหมายกำหนด จนเสร็จสิ้นการชำระบัญชี และบริษัทมหาชนจำกัด ต้องไปจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีต่อนายทะเบียนด้วย จึงจะถือว่าบริษัทมหาชนจำกัด นั้นเลิกกิจการตามผลของกฎหมายโดยสมบูรณ์

ที่มา..เอกสารกระทรวงพาณิชย์

ทุนจดทะเบียนที่ดีต้องมีการวางแผน

       โดยปกติกลุ่มบุคคลที่รวมตัวกันขึ้นมาเพื่อประกอบธุรกิจและต้องการจัดตั้งเป็นบริษัทจำกัดนั้น ย่อมต้องกำหนดทุนของบริษัทขึ้นมาตั้งแต่ตอนจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทกับกระทรวงพาณิชย์ หากแต่ท่านทราบหรือเข้าใจคำว่า “ทุนจดทะเบียน” และ “ทุนเรียกชำระ” หรือไม่ว่ามีความแตกต่างกันเพียงใด และจะมีผลกระทบกับบริษัทของท่านอย่างไรหากขาดการวางแผนที่ดี

       คำว่า “ทุนจดทะเบียน” นั้นคือ ทุนของบริษัทตามที่ได้จดทะเบียนไว้ในหนังสือบริคณฑ์สนธิ โดยจะแบ่งเป็นจำนวนหุ้น และราคาต่อหุ้น หรือ ที่เรียกว่าราคาพาร์ ส่วนคำว่า “ทุนเรียกชำระ” คือ เงินที่ได้เรียกชำระจากผู้ถือหุ้นแล้ว ซึ่งอาจจะน้อยกว่าหรือเท่ากับ จำนวนทุนจดทะเบียนก็ได้ โดยตามกฎหมายได้กำหนดว่าจะต้องเรียกชำระค่าหุ้นไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 25 ของทุนจดทะเบียน เช่น บริษัท ทุนเหลือเฟือ จำกัด มีทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นจำนวน 10,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท ผู้ถือหุ้นทั้งหมดต้องชำระค่าหุ้นขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 250,000 บาท หรือ ไม่น้อยกว่าหุ้นละ 25 บาทนั่นเอง

       จำนวนหุ้นและเงินที่ชำระแล้วต่อหุ้นของผู้ถือหุ้นแต่ละคนนั้น เราสามารถดูได้จากบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น หรือ แบบ บอจ.5 ที่นำส่งไว้กับกระทรวงพาณิชย์ตั้งแต่ตอนจดทะเบียนบริษัท แต่ปัญหาก็คือ บางบริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้งใหม่อาจไม่ทราบข้อกำหนดดังกล่าว จะด้วยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตามแต่ ท่านอาจลงรายการในบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นตามทุนจดทะเบียน ซึ่งเสมือนหนึ่งว่าชำระค่าหุ้นเต็มมูลค่า ปัญหาที่ตามมาประการแรกก็คือ เป็นการให้ข้อมูลเท็จต่อกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการบันทึกบัญชีและการคำนวณภาษีเงินได้อีกทอดหนึ่ง

       มองภาพง่าย ๆ ก็คือ ถ้าบริษัท ทุนเหลือเฟือ จำกัด ลงรายการในบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นว่า มีเงินชำระค่าหุ้นเต็มมูลค่า 1 ล้านบาท แต่ความเป็นจริงได้มีการชำระค่าหุ้นเพียงแค่ 250,000 บาท เป็นต้น เท่ากับว่าเงินส่วนที่เหลืออีก 750,000 ได้หายออกไปจากบัญชี ในแง่ของการทำบัญชีอาจต้องปรับปรุงรายการ โดยการถือเสมือนว่าผู้ถือหุ้นได้กู้ยืมเงินไปจากบริษัท แต่ในแง่ของกรมสรรพากรจะไม่เพียงแค่เสมือนว่า มีการกู้ยืมเงินไปจากบริษัทเท่านั้น แต่ถือเป็นการจำหน่ายจ่ายโอนสินทรัพย์ที่ต้องคิดค่าตอบแทนหรือคำนวณดอกเบี้ยจากเงินให้กู้ยืมดังกล่าวด้วย

       ท่านเอสเอ็มอีคงเริ่มเห็นความยุ่งยากที่ตามมาเพราะการคำนวณดอกเบี้ยรับเข้าไปในงบการเงินย่อมหมายถึงการเพิ่มฐานกำไรสุทธิในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล หรือถึงแม้ว่า เราจะไม่ปรับปรุงรายการเข้าไปในงบการเงินแต่ในการคำนวณภาษีก็ยังคงต้องปรับเพิ่มรายได้ดอกเบี้ยรับเข้าไปอยู่ดี

       ดังนั้น ก่อนที่ท่านจะเริ่มจดทะเบียนบริษัท จึงควรวางแผนเกี่ยวกับทุนจดทะเบียนให้ดีเสียก่อนว่า ระดับทุนเท่าใดที่เพียงพอกับการประกอบธุรกิจและผู้ถือหุ้นมีความสามารถชำระค่าหุ้นได้ และ ควรแจ้งข้อมูลที่เป็นจริงแก่กระทรวงพาณิชย์ในการนำส่งบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น เพื่อมิให้เกิดปัญหาทุนเกินเงิน ดังที่กล่าวมาแล้ว
       อย่างไรก็ตาม ท่านเอสเอ็มอี ที่ได้ประสบปัญหาดังกล่าวอยู่ ก็ยังพอมีทางเลือกให้ปฏิบัติอยู่บ้าง ได้แก่

       • การลดทุนจดทะเบียนให้เท่ากับทุนที่มีอยู่จริง
       • เรียกชำระค่าหุ้นให้ครบจำนวนตามบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น
       • คำนวณดอกเบี้ยจากเงินให้กู้ยืม โดยรวมคำนวณเป็นรายได้ดอกเบี้ยรับเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล

       ทางเลือกที่ 3 ออกจะเป็นทางเลือกที่ไม่น่าเลือกเท่าไรเพราะดูเหมือนไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ แก่บริษัทของเราเลย อีกทั้งยังต้องเสียภาษีโดยไม่จำเป็นอีกด้วย ดังนั้น แนะนำว่าท่านเอสเอ็มอี ควรวางแผนให้ถูกต้องตั้งแต่แรกจะเป็นการดีที่สุด


* * * บทความโดย : ดุลวรรณ์ สกุลดี * * *

ที่มา..ผู้จัดการออนไลน์

ขยายระยะเวลาการยื่นงบการเงินประจำปี 2552 ออกไปถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2553

ประกาศกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
เรื่อง ขยายระยะเวลาการยื่นงบการเงินประจำปี 2552 (ฉบับที่ 2)
พ.ศ.2553
-------------------------------------------------------------------
ตามที่อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ออกประกาศเรื่อง ขยายระยะเวลาการยื่นงบการเงิน ประจำปี 2552 พ.ศ.2553 ลงวันที่ 23 เมษายน 2553 เพื่อขยายระยะเวลาการยื่นงบการเงินสำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่เป็นห้างหุ้น ส่วนจดทะเบียน บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด นิติบุคคลต่างประเทศ ที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย และกิจการร่วมค้า ที่มีสถานที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ในท้องที่เขตสาธร เขตบางรัก และเขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ซึ่งได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบออกไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2553 แล้วนั้น

เนื่องจากปรากฏว่าเหตุการณ์ความไม่สงบจากการชุมนุมทางการเมืองได้ขยาย พื้นที่ออกไปทุกท้องที่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ดังนั้นเพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ.2543 อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าจึงให้ขยายระยะเวลายื่นงบการเงินสำหรับผู้ประกอบ ธุรกิจที่เป็นห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด นิติบุคคลต่างประเทศที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย และกิจการร่วมค้าที่มีสถานที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ในกรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี จังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดปทุมธานี ออกไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2553 เพิ่มเติม

ทั้งนี้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ 24 พฤษภาคม 2553

(นายบรรยงค์ ลิ้มประยูรวงศ์)
อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

law_balance

จดทะเบียนธุรกิจแบบไหนดีกว่า

รูปแบบธุรกิจ

1. บุคคลธรรมดา บุคคลทั่วไปที่มีชีวิตอยู่ตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (มาตรา15)

2. คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ตกลงเข้ากันเพื่อการทำกิจการร่วมกัน โดยไม่มีวัตถุประสงค์แบ่งปันกำไรที่ ได้จากกิจการที่ทำ (หน่วยภาษีตามมาตรา 56แห่งประมวลรัษฎากร)

3. ห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ตกลงเข้ากันเพื่อการทำกิจการร่วมกันโดยมีวัตถุ ประสงค์แบ่งปันกำไรที่ได้จากกิจการที่ทำ (หน่วยภาษีตามมาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากร)

4. ห้างหุ้นส่วนสามัญที่จดทะเบียน นิติบุคคล บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป มาลงทุนและเป็นเจ้าของกิจการร่วมกัน โดยหุ้นส่วน ทุกคนไม่จำกัดความรับผิดและต้องจดทะเบียน เป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์

5 ห้างหุ้นส่วนจำกัด บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป มาลงทุนและเป็นเจ้าของกิจการร่วมกัน หุ้นส่วนมีทั้งที่จำกัดความรับผิดและ ไม่จำกัดความ รับผิดและต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์

6. บริษัทจำกัด บุคคลตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป มาลงทุนและเป็นเจ้าของกิจการ ผู้ถือหุ้นรับผิดในหนี้ต่าง ๆ ไม่เกินจำนวนเงินที่ผู้ถือหุ้นแต่ละคนลงทุน และต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

7. บริษัทมหาชนจำกัด บริษัทประเภทซึ่งตั้งขึ้นด้วยความ ประสงค์ที่จะเสนอขายหุ้นต่อประชาชนให้ผู้ถือหุ้นมีความรับผิด จำกัด ไม่เกินจำนวนเงินค่าหุ้นที่ต้องชำระ และบริษัทดังกล่าวได้ระบุความประสงค์เช่นนั้นไว้ในหนังสือบริคณห์สนธิ (มาตรา 15 พ.ร.บ. บริษัทมหาชนจำกัด)

8. กิจการร่วมค้า กิจการที่ดำเนินการร่วมกันเป็นทางการ ค้าหรือหากำไรระหว่างบริษัทกับบริษัท บริษัทกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับห้างหุ้นส่วน นิติบุคคล หรือระหว่างบริษัทและ/หรือห้างหุ้น ส่วนนิติบุคคลกับบุคคลธรรมดาคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือนิติบุคคลอื่น

- เป็นนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร (มาตรา 39)

9. นิติบุคคลตามกฎหมายต่างประเทศ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ

10. กิจการที่ดำเนินการค้าหรือหากำไรโดยรัฐบาลต่างประเทศ หรือองค์การของรัฐบาลต่างประเทศ เป็นกิจการของรัฐบาลต่างประเทศหรือ องค์การของรัฐบาลต่างประเทศ มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร

- เป็นนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร (มาตรา 39)

11. มูลนิธิหรือสมาคม เป็นนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรและมี หน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลแต่จะได้รับยกเว้น ภาษีเงินได้นิติบุคคลถ้าเป็นมูลนิธิหรือสมาคมที่รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการคลังประกาศให้เป็นองค์การสาธารณะ กุศล

ผมมักจะได้รับคำถามว่า ควรจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือบริษัทจำกัด อย่างไหนดีกว่ากัน ก่อนที่จะมาดูข้อสรุป เรามาดูว่าแต่ละแบบ มีรูปแบบหรือลักษณะเป็นอย่างไรกันดีกว่า

ข้อ 1,2 และ 3 บุคคลธรรมดา คณะบุคคล ห้างหุ้นส่วนส่วนสามัญไม่จดทะเบียน มีสภาพเป็นบุคคลธรรมดา ที่เหลือข้อ 4 ถึง 11 มีสภาพเป็นนิติบุคคล ที่ต้องแยกเนื่องจากมีผลต่อการเสียภาษีและการจดทะเบียนที่กระทรวงพาณิชย์

กรณีเป็นบุคคลธรรมดา ก็เสียภาษีแบบบุคคลธรรมดา (ภงด.90,91,94) และไม่ต้องจดทะเบียนที่กระทรวงพาณิชย์

กรณีเป็นนิติบุคคล ต้องเสียภาษีแบบนิติบุคคล (ภงด.50,51) และจดทะเบียนนิติบุคคลที่กระทรวงพาณิชย์ด้วย

คณะบุคคล คือ บุคคลตั้งแต่สองคน ไม่เกินสามคน (ที่ไม่ใช่ สามี ภรรยา ซึ่งจดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย) ร่วมธุรกิจกันประกอบกิจการการค้า โดยต้องทำสัญญาตกลงจัดตั้งคณะบุคคล โดยระบุวัตถุประสงค์ที่ต้องการจัดตั้งและต้องมอบหมายให้ บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นผู้ดำเนินการของคณะบุคคลนี้ โดยยื่นต่อกรมสรรพากร เพื่อขอหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี กรณีประกอบกิจการซื้อมาขายไปต้องยื่นคำขอจดทะเบียนพาณิชย์ ต่อสำนักงานกลางทะเบียนพาณิชย์ หรือสำนักทะเบียนพาณิชย์ของแต่ละจังหวัด กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเพื่อออกใบทะเบียนพาณิชย์

ห้างหุ้นส่วนสามัญ ที่มิใช่นิติบุคคล หมายถึง บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปได้ตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการร่วมกัน ด้วยประสงค์จะแบ่งปันกำไรอันจะพึงได้แก่กิจการที่ทำนั้น

ที่จริงแล้ว คณะบุคคลกับห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล มีรูปแบบเหมือนกันทุกประการ แต่ปัจจุบันสรรพากรได้คำนิยามของคณะบุคคลต่างกับห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จด ทะเบียน ตรงที่ว่า คณะบุคคลไม่มีวัตถุประสงค์จะแบ่งปันผลกำไรที่ได้จากกิจการที่ทำ (หรือผู้ที่จะจดทะเบียนคณะบุคคลได้ต้องเป็นมูลนิธิ สมาคม องค์กรสาธารณะกุศล เป็นต้น)

การจดทะเบียนพาณิชย์ บุคคลธรรมดา คณะบุคคล ห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล ถ้าประกอบธุรกิจการซื้อมาขายไป ก็ต้องไปจดทะเบียนพาณิชย์ด้วยนะครับ ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://www.kiatchai.com/archives/1102 ถ้าประกอบธุรกิจบริการ หรือเป็นนิติบุคคล (ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด) ก็ไม่ต้องจด (เหตุผลก็เนื่องจากกระทรวงพาณิชย์มีข้อมูลอยู่แล้ว) แต่อาจจะมีบางประเภทธุรกิจที่ยังต้องจดอยู่ ลองเข้าไปดูตาม Link ที่ให้ไว้นะครับ

ส่วนเหตุผลที่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ก็ง่ายๆ เลยนะครับ ทางรัฐบาลต้องการข้อมูล เพื่อง่ายต่อการควบคุม ส่งเสริม และสนับสนุน

มาดูประโยชน์ของการจดทะเบียนพาณิชย์

รัฐบาล ได้ตราพระราชบัญญัติทะเบียนพาณิชย์ (ฉบับแรกถูกตราขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2479) โดยพิจารณาเห็นว่า สมควรจะให้มีการจดทะเบียนประกอบพาณิชยกิจ เพื่อประโยชน์การจัดทำสถิติของการประกอบพาณิชยกิจที่ถูกต้องและเชื่อถือได้ ซึ่งแต่เดิมมานั้นไม่อาจจะทราบได้ว่าในประเทศไทยมีการประกอบพาณิชยกิจประเภท ต่าง ๆ เป็นจำนวนเท่าใด สำนักงานแห่งใหญ่และสาขาตั้งอยู่ที่ไหน ใครเป็นเจ้าของ หุ้นส่วนหรือผู้จัดการเป็นคนไทยหรือเป็นคนต่างชาติ สัญชาติอะไร มีทุนเท่าไร และเริ่มประกอบพาณิชยกิจตั้งแต่เมื่อใด เป็นต้น

กรณีที่ไม่มีข้อมูลการประกอบพาณิชยกิจดังกล่าวจึงไม่สะดวกในการติดต่อ ค้า ขาย และเป็นการยากที่รัฐบาลจะควบคุมหรือส่งเสริมการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม ก็จะต้องทำการสำรวจและรวบรวมข้อมูลใหม่ทุกครั้งไป ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองทั้งเวลาและงบประมาณ และยังไม่ทันความต้องการอีกด้วย

ข้อมูลที่ได้จากการทดทะเบียนพาณิชย์นอกจากจะเป็นประโยชน์สำหรับรัฐบาลใน การส่งเสริมการพาณิชย์และอุสาหกรรมแล้ว ยังเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบพาณิชยกิจในการใช้เป็นหลักฐานในทางการค้าและ เป็นศูนย์ข้อมูลกลางซึ่งพ่อค้าและประชาชนโดยทั่วไปสามารถใช้เป็นแหล่งในการ ตรวจดูรายละเอียดข้อมูลทางการค้าต่าง ๆ และขอให้พนักงานเจ้าหน้าที่คัดสำเนา และรับรองสำเนาเอกสารเกี่ยวกับการจดทะเบียนพาณิชย์เพื่อนำไปใช้เป็นหลักฐาน ได้อีกด้วย

ห้างหุ้นส่วน
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้แบ่งห้างหุ้นส่วนออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. ห้างหุ้นส่วนสามัญ
2. ห้างหุ้นส่วนจำกัด

ห้างหุ้นส่วนสามัญ
คือ ห้างหุ้นส่วนประเภทซึ่งมีผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกเดียว โดยผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้สินทั้งปวงของห้างหุ้น ส่วนไม่จำกัดจำนวน ห้างหุ้นส่วนสามัญ จะจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลหรือไม่ก็ได้ ดังนั้นห้างหุ้นส่วนสามัญจึงแยกออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. ห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิได้จดทะเบียน ซึ่งไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย
2. ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน ซึ่งมีสภาพเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายและมีชื่อเรียกโดยเฉพาะว่า "ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล" โครงสร้างห้างหุ้นส่วนสามัญ
1. มีผู้เป็นหุ้นส่วนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
2. มีผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกเดียว คือ หุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดชอบ โดยผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกันในบรรดาหนี้สินทั้งปวง ของห้างหุ้นส่วนไม่จำกัดจำนวน
3. ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนเข้าเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการได้
4. จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือไม่ก็ได้ ถ้าจดทะเบียนเรียกว่า "ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล"

ห้างหุ้นส่วนจำกัด
คือห้างหุ้นส่วนประเภทซึ่งมีผู้เป็นหุ้นส่วน 2 จำพวก ดังนี้คือ
1. หุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด ได้แก่ ผู้เป็นหุ้นส่วนคนเดียวหรือหลายคน ซึ่งรับผิดจำกัดเพียงจำนวนเงินที่ตนรับว่าจะลงทุนในห้างหุ้นส่วนเท่านั้น
2. หุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด ได้แก่ หุ้นส่วนคนเดียวหรือหลายคนซึ่งรับผิดในบรรดาหนี้สินทั้งปวงของห้างหุ้นส่วน โดยไม่จำกัดจำนวน โครงสร้างห้างหุ้นส่วนจำกัด
1. มีผู้เป็นหุ้นส่วนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
2. ผู้เป็นหุ้นส่วนมี 2 จำพวก คือ
2.1 หุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดชอบ รับผิดเฉพาะจำนวนเงินที่รับว่าจะลงหุ้นในห้างหุ้นส่วน
2.2 หุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความผิดชอบ รับผิดในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จำกัดจำนวน
3. ผู้เป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดเท่านั้นเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ
4. ต้องจดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

การดำเนินการจัด ตั้งห้างหุ้นส่วน
เมื่อมีบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ตกลงใจที่จะเข้าร่วมลงทุนประกอบกิจการเป็นห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลประเภทใด ประเภทหนึ่งดังกล่าวข้างต้นแล้ว ผู้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากบรรดาผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนจะต้องเป็นผู้มีหน้าที่ ดำเนินการขอจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนนั้นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทที่ห้างนั้นมีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่
กรณีที่เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด กฎหมายกำหนดให้ผู้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จะเป็นได้เฉพาะแต่ผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดเท่านั้น

บริษัทจำกัด
คือบริษัทประเภทซึ่งตั้งขึ้นด้วยแบ่งทุนเป็นหุ้นแต่ละหุ้นมีมูลค่าเท่า ๆ กัน โดยผู้ถือหุ้นต่างรับผิดจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนเงินที่ตนยังส่งใช้ไม่ครบ มูลค่าของหุ้นที่ตนถือ

โครงสร้างของ "บริษัทจำกัด"
1. ต้องมีผู้ร่วมลงทุน อย่างน้อย 3 คน
2. แบ่งทุนออกเป็นหุ้น และมีมูลค่าหุ้นละเท่าๆ กัน
3. มูลค่าหุ้นจะต้องไม่ต่ำกว่า 5 บาท
4. ความรับผิดชอบของผู้ถือหุ้นมีจำกัด (เฉพาะจำนวนเงินค่าหุ้นที่ยังส่งใช้ไม่ครบ)
5. ต้องจดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

การดำเนินการจัดตั้ง บริษัทจำกัด ในการจัดตั้งบริษัทจำกัดนั้น จะต้องดำเนินการตามลำดับขั้นตอน ดังนี้
1. ต้องมีผู้เริ่มก่อการตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป เข้าชื่อกันทำหนังสือบริคณห์สนธิขึ้น แล้วไปจดทะเบียน
2. เมื่อได้จดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิแล้ว ผู้เริ่มก่อการต้องจัดให้หุ้นของบริษัทที่จะตั้งขึ้นนั้นมีผู้ เข้าชื่อจองซื้อหุ้นจนครบ
3. ดำเนินการประชุมตั้งบริษัท โดยต้องส่งคำบอกกล่าวนัดประชุมให้ผู้จองทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน ก่อนวันประชุม
4. เมื่อได้ประชุมตั้งบริษัท และที่ประชุมได้แต่งตั้งกรรมการบริษัทแล้ว ผู้เริ่มก่อการต้องมอบหมายกิจการให้กรรมการบริษัทรับไปดำเนินการต่อไป
5. กรรมการบริษัทเรียกให้ผู้เริ่มก่อการและผู้จองหุ้นชำระค่าหุ้นอย่างน้อยร้อย ละ 25 ของมูลค่าหุ้น (ทุนของบริษัทจะแบ่งเป็นกี่หุ้นก็ได้แต่ต้องไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 5 บาท)
6. เมื่อได้รับเงินค่าหุ้นแล้ว กรรมการต้องไปจดทะเบียนเป็นบริษัทภายใน 3 เดือน ภายหลังจากการประชุมตั้งบริษัท
7. ในการจัดตั้งบริษัท ถ้าได้ดำเนินการทุกขั้นตอนดังต่อไปนี้ ภายในวันเดียวกับวันที่ผู้เริ่มก่อการจัดทำหนังสือบริคณห์สนธิ กรรมการจะจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิและจดทะเบียนตั้งบริษัทไปพร้อมกันภาย ในวันเดียวก็ได้
7.1 จัดให้มีผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นครบตามจำนวนหุ้นทั้งหมดที่บริษัทจะจดทะเบียน
7.2 ประชุมจัดตั้งบริษัท  เพื่อพิจารณากิจการต่างๆ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1108 โดยมีผู้เริ่มก่อการและผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นทุกคนเข้าร่วมประชุม และผู้เริ่มก่อการ และผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นทุกคน ให้ความเห็นชอบในกิจการที่ได้ประชุมกันนั้น
7.3 ผู้เริ่มก่อการได้มอบกิจการทั้งปวงให้แก่กรรมการบริษัท
7.4 กรรมการได้เรียกให้ผู้เข้าชื่อซื้อหุ้น ใช้เงินค่าหุ้น โดยจะเรียกครั้งเดียวเต็มมูลค่าหรือไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้า ตามมาตรา 1110 วรรคสองก็ได้  และผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นทุกคนได้ชำระเงินค่าหุ้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว

บท สรุป

เมื่อดูหลักการกันแล้วจะเห็นว่า ถ้ารายได้ไม่มาก การประกอบธุรกิจในแบบบุคคลธรรมดา หรือคณะบุคคล ห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน น่าจะดีกว่าเพราะขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องจัดทำบัญชี ไม่ต้องไปจดทะเบียนนิติบุคคลที่กระทรวงพาณิชย์ แต่ถ้ามีรายได้มาก และค่าใช้จ่ายก็มากตามด้วย การเสียภาษีโดยหักค่าใช้จ่ายเหมาในแบบบุคคลธรรมดาอาจจะดูน้อยไปสำหรับค่าใช้ จ่ายที่เกิดขึ้นจริง และการจดทะเบียนนิติบุคคล ดูจะน่าเชื่อถือกว่า (หรือบางทีก็เป็นเงื่อนไขในการทำธุรกิจ) เมื่อธุรกิจมีขนาดใหญ่ขึ้น การจดทะเบียนนิติบุคคล (ห้างหุ้นส่วนจำกัดหรือบริจำกัด) ก็เป็นเรื่องที่เหมาะสมมากกว่าในการทำธุรกิจ

ปัญหาการรับงบการเงินของกระทรวงพาณิชย์

ฉบับที่ กธ.3/วันที่ 5 มีนาคม 2553
เรื่อง ปัญหาการรับงบการเงิน

สำนักบริการข้อมูลธุรกิจได้รวบรวมปัญหา เกี่ยวกับการรับงบการเงินในแต่ละปีที่ผ่านมาเพื่อเผยแพร่ให้นิติบุคคลที่มี หน้าที่ส่งงบการเงินได้ทราบทั่วกัน เพื่อให้สามารถ จัดเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องได้ครบถ้วนถูกต้องสามารถนำส่งงบการเงินได้ อย่างสะดวกรวดเร็วประหยัดเวลา ดังนี้

1. ประชาสัมพันธ์ เรื่องการกรอกแบบ ส.บช.3 ขอความร่วมมือให้นิติบุคคลดาวน์โหลด แบบฟอร์ม จาก www. dbd.go.th หรือ www.google.co.th เนื่องจากสามารถพิมพ์รายละเอียดในแบบ ฟอร์มได้ ไม่ควรพริ้นท์แบบฟอร์มเปล่าออกมาเขียนด้วย หมึกเพราะผู้บันทึกข้อมูลงบการเงินอาจอ่านเลขทะเบียนนิติบุคคลผิดพลาด ได้ จะกลายเป็นนิติบุคคลอื่นได้ส่งงบการเงินแทน

2. สำหรับงบการเงินของนิติบุคคลที่มี รอบปีบัญชี 31 ธันวาคม 2552 ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนนิติบุคคลต่างประเทศและกิจการร่วม ค้า ต้องส่งงบการเงินภายใน 5 เดือนนับแต่วันสิ้นงวด คือต้องไม่เกิน 31 พฤษภาคม 2553 เท่านั้น และกรณีเป็นบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนต้องนำงบการเงินเสนอที่ประชุมใหญ่สามัญ ประจำปีภายใน 4 เดือนนับแต่วันสิ้นงวด คือไม่เกินวันที่ 30 เมษายน 2553 และต้องส่งงบการเงินภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่ประชุมฯ ขอความร่วมมือนิติบุคคลให้รีบนำส่งเสียแต่เนินๆ หากไปส่งในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือน พฤษภาคม 2553 อาจ ไม่ได้รับความสะดวกเท่าที่ควร

3. หากต้องการให้นายทะเบียนรับรองเอกสาร สำเนางบการเงินหรือสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ขอ ความร่วมมือให้รีบส่งก่อนสิ้นระยะเวลาการส่งงบการเงิน เพราะ หากส่งในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม อาจไม่ ได้รับความสะดวก

4. ขอความร่วมมือผู้ทำบัญชีและผู้สอบบัญชีฯ ให้แจ้งรายชื่อธุรกิจต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าก่อนที่จะนำส่งงบการเงิน

5. ก่อนส่งงบการเงินควรตรวจสอบรอบปีบัญชีใน แบบ ส.บช.3 หน้ารายงานผู้สอบบัญชี และ ในงบการเงินควรต้องสอดคล้องเป็นรอบปีบัญชีเดียวกัน

6. วันที่ลงลายมือชื่อของผู้สอบบัญชีฯ ในหน้ารายงานผู้สอบบัญชีฯ ต้องเป็นวันที่ก่อนวันที่ ประชุมอนุมัติงบการเงิน เนื่องจากงบการเงินต้องได้รับการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีฯ ก่อนนำเสนอให้ที่ประชุมใหญ่ฯ อนุมัติงบดุล

7. การลงลายมือชื่อในงบการเงินให้ผู้มี อำนาจหรือกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อในแบบ ส.บช.3 , งบดุลและงบกำไรขาดทุน ตามอำนาจที่ได้จดทะเบียนไว้ ส่วน เอกสารอื่นนอกจากนี้ให้ผู้มีอำนาจหนึ่งคนลงลายมือชื่อได้

8. ขอความร่วมมือผู้ทำบัญชีอย่าลืมลงลายมือ ชื่อในแบบ ส.บช.3 เพราะในแต่ละปีมีงบการเงินที่ผู้ ทำบัญชีไม่ได้ลงลายมือชื่อในแบบ ส.บช.3 เป็นจำนวนมาก

9. งบการเงินของนิติบุคคลที่จดทะเบียนเลิก หรือเสร็จการชำระบัญชีก่อนสิ้นรอบปีบัญชีในรอบปีนั้นๆ ไม่ ต้องส่งงบการเงินประจำปี งบการเงิน ณ วันเลิกเป็นเอกสารประกอบคำขอจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีเท่านั้น

10. งบ การเงินของบริษัทที่ถูกขีดชื่อเป็นบริษัทร้างแล้วไม่ต้องส่งงบการเงินจนกว่า จะได้ร้องขอคืนสภาพนิติบุคคลต่อศาล และศาลได้สั่งให้คืนสภาพนิติบุคคลแล้ว

11. นิติบุคคล ที่ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์หรือศาลสั่งล้มละลายไม่ต้องส่งงบการเงิน แต่หากมีความประสงค์จะส่งจะต้องนำส่งงบการเงินโดยเจ้า พนักงานพิทักษ์ทรัพย์มิใช่กรรมการผู้มีอำนาจอีกต่อไป

12. สำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นที่ส่งพร้อมงบการเงินต้องเป็นสำเนาบัญชีรายชื่อ ผู้ถือหุ้นที่รับรองจากการประชุมสามัญประจำปีเท่านั้น ถ้าเป็นการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นหรือเป็นการคัดลอกจาก สมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น ให้จัดทำหนังสือแยกส่งสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นต่างหาก

สำนักกำกับดูแลธุรกิจ
DBD E-Newslet

การจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรณีที่หุ้นส่วนผู้จัดการถึงแก่กรรม

เรื่อง การจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรณีที่หุ้นส่วนผู้จัดการ ถึงแก่กรรม
                  เมื่อหุ้นส่วนของห้างถึงแก่กรรม ห้างหุ้นส่วนย่อมเลิกกันตามประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ มาตรา 1055(5) และ มาตรา 1080 แต่หุ้นส่วนที่ยังคงอยู่อาจตกลงให้ห้างยังคงอยู่
ต่อไป โดยรับทายาทของหุ้นส่วนที่ถึงแก่กรรมเข้ามาเป็นหุ้นส่วนแทนได้ (ตามนัยคำ พิพากษาฎีกา
ที่ 3196/2532)
                  ในการเปลี่ยนแปลงหุ้นส่วนผู้จัดการกรณีที่หุ้นส่วนผู้จัดการเดิมถึงแก่กรรม จะถือว่า
มีการเปลี่ยนแปลงหุ้นส่วนผู้จัดการก็ต่อเมื่อผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนทำสัญญา หรือมีมติที่ประชุมของ
ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนตกลงกันให้เปลี่ยนแปลงข้อสัญญาเดิมของห้างหุ้นส่วนตาม มาตรา 1032 ให้
เปลี่ยนแปลงหุ้นส่วนผู้จัดการโดยให้หุ้นส่วนผู้จัดการเดิมที่ถึงแก่กรรม พ้นจากตำแหน่งและตั้ง
หุ้นส่วนผู้จัดการใหม่ ดังนั้น ห้างหุ้นส่วนจึงต้องนำความไปจดทะเบียนภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่ผู้
เป็นหุ้นส่วนทุกคนทำสัญญาหรือมีมติที่ประชุมของผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนตกลงกัน ให้เปลี่ยนแปลง
หุ้นส่วนผู้จัดการ

สำนักทะเบียนธุรกิจ
18 มกราคม 2553

ศูนย์ให้คำปรึกษาด้านทะเบียนธุรกิจ
สำนักทะเบียนธุรกิจ
DBD E-Newsletter

ความหมายของคำว่า คัดจากสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น

ความหมายของคำว่า"คัดจากสมุดทะเบียน ผู้ถือหุ้น"ในแบบสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น(แบบ บอจ.5)

ความหมาย ของคำว่า "คัดจากสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น" ในแบบสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (แบบ บอจ. 5 )
การกรอกรายละเอียดในแบบ สำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (แบบ บอจ.5) ให้ปฏิบัติตาม
ระเบียบสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลางว่าด้วยการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วน และบริษัท พ.ศ. 2549 ข้อ 55
แก้ไขโดยระเบียบสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลางว่าด้วยการจดทะเบียนห้าง หุ้นส่วนและบริษัท พ.ศ.2549
แก้ไขเพิ่มเติม(ครั้งที่ 1) พ.ศ.2551 ข้อ 10 คือ การนำส่งสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นนอกจากวันประชุมสามัญ
ประจำปี หากผู้ยื่นไม่ได้ระบุวันประชุมสามัญประจำปีหรือวิสามัญก็ให้รับไว้ โดยให้ระบุว่า "ได้คัดลอก
บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นจากสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น เมื่อวัน เดือน ปีใดแทน)
สำนักทะเบียนธุรกิจ
25 มกราคม 2553

ศูนย์ให้คำปรึกษาด้านทะเบียนธุรกิจ
สำนักทะเบียนธุรกิจ
DBD E-Newsletter

จดทะเบียนบริษัท ราคาพิเศษ

สำนักงานบัญชี รับจดทะเบียนในราคาพิเศษ โดยมีรายละเอียดบริการดังนี้
  1. ให้บริการจองชื่อนิติบุคคล
  2. บริการจัดเตรียมแบบฟอร์มจดทะเบียน
  3. บริการจดทะเบียนจัดตั้งบริคณห์สนธิและจัดตั้งบริษัท
  4. ขอมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของบริษัท (ปัจจุบันยกเลิกแล้วให้ใช้เลขทะเบียนนิติบุคคลแทน)
  5. ขอมีเลขที่บัญชีนายจ้างประกันสังคม (ขึ้นทะเบียนผ่านกระทรวงพาณิชย์)
  6. จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ทางอินเทอร์เน็ต (โดยกรมสรรพากรจะแจ้งผลการพิจารณาให้ทราบทาง e-Mail และทางอินเทอร์เน็ตภายใน 15 วันนับจากวันที่ยื่นคำขอ)
เอกสารที่ต้องจัดเตรียมในการจดทะเบียนบริษัท ได้แก่
  1. สำเนาบัตรประชาชนของผู้ร่วมก่อตั้งทุกคน (จดบริษัทต้องมีอย่างน้อย 3 คน จดห้างหุ้นส่วนต้องมีอย่างน้อย 2 คน
  2. ข้อมูลเพิ่มเติมของผู้ร่วมก่อตั้ง ได้แก่ อาชีพ เบอร์โทรศัพท์
  3. สำเนาทะเบียนบ้านที่ตั้งกิจการ
  4. แผนที่ตั้งกิจการ (ระบุสถานที่สำคัญใกล้เคียง)
  5. วัตถุประสงค์ในการจัดตั้ง (ประกอบธุรกิจอะไร)
  6. กำหนดรูปแบบตรายาง
  7. ระบุว่าใครเป็นกรรมการ และกำหนดอำนาจกรรมการ เช่น ลงนามคนเดียว ลงนามร่วมกัน
  8. ทุนจดทะเบียนเท่าไหร่ ชำระเต็มจำนวน หรือชำระขั้นต่ำตามกฎหมาย (อย่างน้อย 25%)
  9. ผู้ถือหุ้นแต่ละคน ลงทุนคนละเท่าไหร่
  10. แบบแจ้งผลการจองชื่อ (ถ้ายังไม่มี ให้แจ้งชื่อภาษาไทยและภาษาอังกฤษ มาอย่างละ 3 ชื่อ)
เอกสารที่ต้องใช้ในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (กรณีจดทางอินเตอร์เน็ตไม่ต้องเตรียมเอกสารให้)
  1. แบบ ภพ.01 และ ภพ.01.1
  2. รูปถ่ายสถานประกอบการ จำนวน 2 ใบ
  3. แผนที่ตั้งของกิจการ จำนวน 2 ใบ
  4. สำเนาบัตรประจำตัวผู้เสียภาษี
  5. หนังสือมอบอำนาจ (ติดอากร 30 บาท)
  6. สำเนาบัตรประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ
  7. หนังสือยินยอมให้ใช้สถานที่ (เจ้าบ้าน) หรือสัญญาเช่า (ต้องติดอากร)
  8. สำเนาบัตรประชานและสำเนาทะเบียนของผู้เป็นเจ้าบ้าน
  9. สำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนของหุ้นส่วนผู้จัดการ
  10. สำเนาหนังสือรับรองพร้อมวัตถุประสงค์
แบบสอบถามเพื่อเป็นข้อมูลในการจดทะเบียนบริษัท จดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด
ปัญหาที่พบในการจดทะเบียนบริษัท / จดทะเบียนห้างหุ้นส่วน ได้แก่

1. บัตรประชาชนไม่ชัดเจน
  • ภาพถ่ายบนบัตรดำ มองเห็นหน้าไม่ชัด
  • วันออกบัตร วันหมดอายุบัตร อ่านไม่ออก ไม่รู้ว่าบัตรหมดอายุหรือยัง
  • ชื่อ ที่อยู่บนบัตร อ่านไม่ออก ไม่สามารถตรวจสอบชื่อและที่อยู่ได้
  • ถ่ายบัตรประชาชนมาด้านเดียว ด้านหลังบัตรไม่ถ่ายมา
2. ตรายางบริษัท
  • กรณีจดทะเบียนบริษัท ถ้าระบุชื่อบริษัท ต้องมีคำว่า บริษัท …. จำกัด (ห้ามย่อ) หรือ CO., LTD. ต่อท้าย (ภาษาอังกฤษย่อแบบนี้ได้)
  • กรณีจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด ถ้าระบุชื่อห้างหุ้นส่วน ต้องมีคำว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัด (ห้ามย่อ) หรือ LIMITED PARTNERSHIP (ห้ามย่อ)
  • ตรายางจะเป็นรูปภาพ หรือตัวย่อก็ได้ เช่น Kiatchai Accounting จะย่อเป็น KA ก็ได้
  • กรณีชื่อบริษัทเป็นตัวย่ออยู่แล้วจะไม่สามารถทำตรายางได้ เช่น KA Business จะใช้ตัวย่อ KA ไม่ได้แล้ว เพราะถือเป็นส่วนหนึ่งของชื่อไปแล้ว
3. ทุนจดทะเบียน
  • กฎหมายไม่ได้กำหนดจำนวนต่ำสุด หรือจำนวนสูงสุดไว้ ทุนจดทะเบียนจะเป็นเท่าไหร่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจ เช่น เปิดโรงงาน แบบนี้ทุนจดทะเบียนก็ต้องมากหน่อย เนื่องจากต้องนำเงินไปลงทุนซื้อเครื่องจักร แต่ถ้าเป็นธุรกิจให้คำปรึกษา แบบนี้ทุนจดทะเบียนไม่จำเป็นต้องมาก จะจดที่ 10,000 บาท หรือ 100,000 บาท ก็ได้
  • ทุนจดทะเบียนสามารถชำระบางส่วนได้ แต่ต้องไม่น้อยกว่า 25% กรณีชำระค่าหุ้นไม่ครบ ผู้ถือหุ้นยังคงติดเงินบริษัทอยู่ ถือเป็นลูกหนี้ค่าหุ้น

สอบถามบริการ / ขอคำปรึกษา ได้ที่
  • คุณเกียรติชัย Tel. 089-890-2929 (ตลอดเวลา)
email - kiatchai-hotmail

ให้บริการจดทะเบียนบริษัท สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี กรุงเทพมหานคร

แท็กของ Technorati: {กลุ่มแท็ก}

การกำหนดสัญชาติของนิติบุคคล

การกำหนดสัญชาติของนิติบุคคล

ในการกำหนดสัญชาติ หากเป็นบุคคลธรรมดา อาจระบุได้ง่ายโดยสัญชาติของบุคคลธรรมดาอาจระบุได้จากสายโลหิตหรือดินแดนที่เกิด แต่นิติบุคคลเป็นบุคคลที่ได้รับการรับรองให้มีตัวตนตามกฎหมาย การเกิดขึ้นของ นิติบุคคลจะตั้งขึ้นโดยกฎหมายของแต่ละประเทศ ในดินแดนของแต่ละประเทศ และตั้งขึ้นโดยคนของแต่ละประเทศ เช่น บริษัท กขค จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีสำนักงานแห่งใหญ่อยู่ในประเทศไทย และมีแต่บุคคลผู้มีสัญชาติไทยเป็นผู้รวมตัวกันก่อตั้งบริษัท ดังนั้น บริษัท กขค จำกัด จึงเป็นบริษัทที่มีสัญชาติไทยโดยไม่มีข้อสงสัย ในปัจจุบันมีการก่อตั้งนิติบุคคลที่เรียกกันว่า “บริษัทข้ามชาติ” (Transnational Corporation) ตัวอย่างเช่น บริษัท เอบีซี จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีสำนักงานแห่งใหญ่อยู่ในประเทศไทย แต่มีบุคคลสัญชาติสิงคโปร์ทั้งหมดเป็นผู้ถือหุ้น หรือบริษัท ดีอีเอฟ จำกัด จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายอังกฤษ มีสำนักงานแห่งใหญ่อยู่ในประเทศฝรั่งเศส และมีบุคคลสัญชาติญี่ปุ่นเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด ได้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย เช่นนี้คงเป็นเรื่องยากที่จะระบุสัญชาติของนิติบุคคลนี้ให้ได้อย่างชัดเจนว่าเป็นนิติบุคคลสัญชาติใด

รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ให้คำอธิบายในเรื่องดังกล่าวว่า “นิติบุคคลเป็นสิ่งที่กฎหมายก่อตั้งขึ้น และรับรองให้มีตัวตนทางกฎหมาย ความเป็นนิติบุคคลจึงขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญที่เป็นสารัตถะของนิติบุคคล กล่าวคือ

(1) บุคคลทางกฎหมายที่มารวมตัวกันเพื่อกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งร่วมกัน อาทิ นิติบุคคลในรูปของบริษัทก็จะ ต้องมีผู้ถือหุ้น นิติบุคคลในรูปของสมาคมก็จะต้องมีสมาชิก (Groupement of Member)

(2) ที่ทำการหรือสำนักงานในการกระทำร่วมกันและในการกำหนดเจตนาของนิติบุคคล (Head Office)

(3) กฎหมายรับรองสภาพความเป็นบุคคลทางกฎหมายของนิติบุคคลนั้น (Incorporating Law) แต่ อย่างไรก็ตามปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะข้อเท็จจริงทั้งสามอาจตกอยู่ภายใต้อำนาจ อธิปไตยของรัฐที่แตกต่างกัน จึงต้องเลือกว่าข้อเท็จจริงใดในข้อเท็จจริงทั้งสามที่เป็นตัวชี้ความ สัมพันธ์ที่เข้มข้นที่สุดระหว่างรัฐและนิติบุคคล”

“ในวิชานิติศาสตร์เป็นหลักทั่วไปที่รัฐหนึ่งๆ จะไม่ปฏิเสธสิ่งที่มีจุดกำเนิดจากกฎหมายของตน เพราะการปฏิเสธดังกล่าวจะหมายความว่ารัฐนั้นปฏิเสธความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายของตนเอง ดังนั้นในทางปฏิบัติรัฐจะไม่ปฏิเสธที่จะยอมรับว่านิติบุคคลที่ก่อตั้งสภาพบุคคลตามกฎหมายของตน (Incorporation) ย่อมมีสัญชาติของตนในความหมายทั่วไป อย่างไรก็ตามนักนิติศาสตร์ไทยอีกกลุ่มหนึ่งก็พยายามอธิบายว่า นิติบุคคลผู้มีสัญชาติไทยจะต้องมีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศไทย ส่วนนักนิติศาสตร์อีกกลุ่มหนึ่งพยายามหาทางประนีประนอมโดยการอธิบายว่าสัญชาติของนิติบุคคลย่อมเป็นไปตามข้อเท็จจริงทั้งสองประการ กล่าวคือนิติบุคคล ย่อมมีสัญชาติของทั้งเจ้าของประเทศของกฎหมายที่ก่อตั้งสภาพนิติบุคคลและ ประเทศเจ้าของถิ่นที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ของนิติบุคคล แต่สำหรับแนวคำพิพากษาฎีกายืนยันอย่างชัดเจนว่า ประเทศเจ้าของกฎหมายที่ก่อตั้งสภาพนิติบุคคลย่อมเป็นเจ้าของสัญชาติของนิติบุคคลนั้น เช่น คำพิพากษาฎีกาที่ 1318/2513 ศาลฎีกาเห็นว่า บริษัทหลุยส์ ที เลียวโนเวนส์ จำกัด ซึ่งจดทะเบียนตามกฎหมายอังกฤษ จึงมีสัญชาติอังกฤษ คำพิพากษาฎีกาที่ 3401/2529 ศาลฎีกาเห็นว่า บริษัท คัมป์สกิปแซสกาเบ็ทอาฟ 1912 อัคคีแซลสกาป จำกัดเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายเดนมาร์ก ซึ่งมีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์กจึงมี สัญชาติเดนมาร์ก หรือ คำพิพากษาฎีกาที่ 2466/2523 ศาลฎีกาเห็นว่าบริษัท เซ็นทรัลออโตโมทีฟโปรดักส์ จำกัด ตั้งขึ้นตามกฎหมายญี่ปุ่น จึงมีสัญชาติญี่ปุ่น เป็นต้น กล่าวโดยสรุปศาลไทยจึงมีแนวความคิดที่ว่าบริษัทที่มิได้จดทะเบียนก่อตั้งนิติบุคคลตามกฎหมายไทย จึงไม่มีสัญชาติไทย และเป็นเพียงนิติบุคคลต่างด้าวในประเทศไทย

การ ยอมรับของศาลไทยในแนวทางนี้เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล เพราะเมื่อหากนิติบุคคลนี้เกิดขึ้นจากกฎหมายไทย การจะปฏิเสธความเป็นไทยของนิติบุคคลนั้น เท่ากับเป็นการปฏิเสธความมีผลของกฎหมายไทยนั่นเอง ”

ข้อเท็จจริงที่ชี้ว่านิติบุคคลมีสัญชาติไทย

“ในประเทศไทยไม่มีกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรในเรื่องสัญชาติของนิติบุคคล กฎหมายไทยที่เป็นลายลักษณ์อักษรในเรื่องสัญชาติของนิติบุคคลเป็นเพียงกฎหมายพิเศษ กล่าวคือไม่นำมาใช้โดยทั่วไป แต่ จะใช้เมื่อเกิดมีสถานการณ์พิเศษตามข้อกำหนดของกฎหมายเท่านั้น ในสถานการณ์ทั่วไป ถ้านิติบุคคลหนึ่งจดทะเบียนก่อตั้งนิติบุคคลตามกฎหมายไทย แม้จะมีสำนักงานแห่งใหญ่ที่แท้จริงตั้งอยู่ในต่างประเทศหรือ แม้ว่าผู้เป็นสมาชิกของนิติบุคคลจะเป็นผู้ไม่มีสัญชาติไทย นิติบุคคลนั้นก็จะมีสถานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายไทย ในปรากฏการณ์เช่นนี้เราจึงเผชิญกับ “นิติบุคคลไทยมีองค์ประกอบต่างด้าว” ในสถานการณ์ที่ตรงกันข้ามนิติบุคคลต่างด้าวในประเทศไทยก็อาจจะเป็นนิติบุคคล ซึ่งไม่ได้ก่อตั้งและมีสถานภาพนิติบุคคลตามกฎหมายไทย แต่มีสำนักงานแห่งใหญ่ที่แท้จริงตั้งอยู่ในประเทศไทย หรือมีผู้เป็นสมาชิกข้างมากของนิติบุคคลเป็นผู้มีสัญชาติไทย นิติบุคคลนั้นก็จะตกเป็นนิติบุคคลต่างด้าวอย่างไม่ต้องสงสัย ในปรากฏการณ์เช่นนี้เราจึงเผชิญกับ “นิติบุคคลต่างด้าวที่มีองค์ประกอบไทย”

สัญชาติของนิติบุคคลถือเป็นเครื่องหมายแสดงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐเจ้าของนิติบุคคลและตัวนิติบุคคล และการจะยอมรับว่านิติบุคคลนี้มีสัญชาติของรัฐใดหรือไม่ ย่อมเป็นไปตามเจตนาของรัฐเจ้าของสัญชาติของนิติบุคคล ซึ่งก็คือกฎหมายของรัฐเจ้าของสัญชาตินั่นเอง แต่อย่างไรก็ตามรัฐก็ไม่อาจใช้อำนาจตามอำเภอใจในการกำหนดสัญชาติของนิติบุคคลได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากกฎหมายระหว่างประเทศไม่รับรองการ ให้สัญชาติให้แก่นิติบุคคลที่ไม่มีความสัมพันธ์ที่แท้จริงกับตน นอกจากนี้การกำหนดว่านิติบุคคลหนึ่งๆมีสัญชาติไทยหรือไม่ มีความจำเป็นต้องทำการศึกษาในแต่ละขั้นตอนเพื่อให้ ได้ข้อเท็จจริงที่ชี้ว่านิติบุคคลนั้นเป็นนิติบุคคลสัญชาติไทยเป็นกรณีๆไป”

บทความที่กล่าวในข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของบทความเรื่อง “การกำหนดสัญชาติไทยของนิติบุคคลในปัจจุบัน โดย รศ.ดร. พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จาก www.lawthai.org ครับ

 

ที่มา : รศ.ดร. พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร

www.lawthai.org

สำนักทะเบียนธุรกิจ
ศูนย์ให้คำปรึกษา
DBD E-Newsletter

หน้าที่ของบริษัทในการจัดทำสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น

หน้าที่ของบริษัทในการจัดทำสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น

สมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น ก็คือสมุดที่จดบันทึกเกี่ยวกับหุ้นและผู้ถือหุ้นของบริษัท เพื่อให้รู้ว่าใครเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทบ้าง คนละเท่าใด ตั้งแต่เมื่อใด ตลอดจนรายละเอียดเกี่ยวกับการโอนหุ้นและการเปลี่ยนแปลงรายการต่างๆ ที่บันทึกไว้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของกรรมการที่ต้องจัดให้มีสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นนับแต่วันที่จดทะเบียนบริษัทนั้น และให้เก็บรักษาไว้ ณ สำนักงานของบริษัท เพื่อให้ผู้ถือหุ้นสามารถตรวจสอบดูได้ สมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นต้องมีรายการตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1138 กำหนด คือ 
     (1) ชื่อ ที่อยู่ และอาชีพ ของผู้ถือหุ้นแต่ละคนและต้องระบุไว้ด้วยว่าผู้ถือหุ้นคนหนึ่งๆ ถือหุ้นกี่หุ้น หมายเลขหุ้นเลขที่เท่าใดถึงเลขที่เท่าใด แต่ละหุ้นได้ใช้เงินค่าหุ้นแล้วเท่าใด หรือถ้าเป็นหุ้นชนิดออกให้เพื่อทดแทนแรงงานหรือแลกเปลี่ยนกับทรัพย์สินของผู้ถือหุ้นก็ต้องระบุว่าได้ใช้เงินแล้วเท่าใด 
     (2) วัน เดือน ปี ที่ได้ลงทะเบียนว่าผู้นั้นเป็นผู้ถือหุ้น 
     (3) วัน เดือน ปี ซึ่งบุคคลใดขาดจากการเป็นผู้ถือหุ้น 
     (4) เลขหมายใบหุ้นและวันที่ลงในใบหุ้นชนิดออกให้แก่ผู้ถือและเลขหมายของหุ้นซึ่งลงไว้ใน ใบหุ้นนั้นๆ 
     (5) วันที่ได้ขีดฆ่าใบหุ้นชนิดระบุชื่อ หรือชนิดออกให้แก่ผู้ถือ 
     สมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นนี้ กฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าข้อความที่จดลงไว้ในทะเบียนผู้ถือหุ้นเป็นพยานหลักฐานอันถูกต้อง ซึ่งนอกจากผู้ถือหุ้นของบริษัทจะได้ใช้ประโยชน์เพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานแล้ว บุคคลภายนอกก็อาจจะถือเอารายการต่างๆ ที่ได้บันทึกไว้ในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น เพื่อใช้เป็นพยาน หลักฐานได้ด้วยเช่นกัน หากบริษัทจดบันทึกรายการดังกล่าวผิดพลาดไปจากความเป็นจริง บริษัทอาจต้องรับผิดชอบจากการบันทึกที่ผิดพลาดนั้นด้วย 
     ดังนั้น การจดบันทึก แก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือการกระทำใดๆ ในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัท ถือเป็นกิจการภายในของบริษัท ซึ่งสามารถกระทำได้โดยไม่ต้องจดทะเบียนต่อสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามกฎหมายกำหนดให้เป็นหน้าที่ของกรรมการบริษัทที่จะต้องส่งสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (แบบ บอจ. 5) ไปยังนายทะเบียนอย่างน้อยปีละครั้งภายใน 14 วันนับแต่ วันที่มีการประชุมสามัญ ซึ่งสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นดังกล่าว กฎหมายสันนิษฐานว่าเป็นพยานหลักฐาน อันถูกต้องแล้ว ดังนั้น นายทะเบียนจึงไม่มีอำนาจในการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงรายการใดๆ ในสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นได้ 
     อนึ่งหากบริษัทจำกัดใดละเลย ไม่จัดให้มีสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น หรือไม่รักษาสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นหรือไม่เปิดสมุดทะเบียนให้ผู้ถือหุ้นดู ย่อมมีความผิดตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคมและมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 10, 11 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท และกรรมการบริษัทมีความผิดตามมาตรา 25 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาทด้วย นอกจากนี้หากกรรมการบริษัทไม่ส่งสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นในวันประชุมสามัญประจำปีไปยังนายทะเบียน ย่อมมีความผิดตามมาตรา 26 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทด้วยเช่นกัน

สำนักทะเบียนธุรกิจ
ศูนย์ให้คำปรึกษาด้านทะเบียนธุรกิจ
DBD E-Newsletter

สรุปองค์ความรู้ของคณะทำงานให้คำปรึกษาแก่นายทะเบียน

วันที่ 11 กันยายน 2552

สรุปองค์ความรู้ ของ คณะทำงานให้คำปรึกษาแก่นายทะเบียน
****************
1. การยื่นคำขอจดทะเบียนของนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วน หรือ บริษัทจำกัด การแนบเอกสารประกอบการจดทะเบียน
     1.1 สำเนาบัตรประชาชน

การใช้สำเนาบัตรประชาชนเพื่อประกอบคำขอจดทะเบียนนั้น จะต้องถ่ายภาพ บัตรประชาชน ทั้งด้านหน้าและด้านหลังของบัตรด้วย เนื่องจากในส่วนของด้านหลังของบัตร จะมีตัวเลขปรากฏอยู่ซึ่งเป็นรหัสที่เป็นข้อมูลเฉพาะของบัตรแต่ละบุคคล (ตามคำชี้แจงของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย)
     1.2 สำเนาหลักฐานแสดงสถานะของผู้รับรองลายมือชื่อของสามัญสมาชิกหรือสมาชิก วิสามัญแห่งเนติบัณฑิตยสภา
สำเนาหลักฐานแสดงสถานะของผู้รับรองลายมือชื่อ ซึ่งเป็นสามัญสมาชิกหรือ สมาชิกวิสามัญแห่งเนติบัณฑิตยสภา สามารถใช้เอกสารอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้แนบประกอบคำขอจดทะเบียนได้
          (1) บัตรประจำตัวสมาชิกสภาทนายความ
          (2) หนังสือรับรองการเป็นสมาชิกแห่งเนติบัณฑิตยสภา
          (3) บัตรทะเบียนสมาชิกของเนติบัณฑิตยสภา ที่ออกโดยหัวหน้าแผนกทะเบียนสมาชิกและทนายความ

2. การระบุวันที่ออกใบหุ้นในบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นในการจัดตั้งบริษัท

ในการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท เอกสารบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นให้ระบุวันที่ออกใบหุ้นตามความเป็นจริง แต่ทั้งนี้ ต้องไม่ก่อนวันที่ประชุมจัดตั้งบริษัท กรณีที่บริษัทยังไม่ได้ออกใบหุ้นให้กับผู้ถือหุ้น รายการในเลขหมายใบหุ้นไม่จำเป็นต้องระบุ

สำนักทะเบียนธุรกิจ
ศูนย์ให้คำปรึกษาด้านทะเบียนธุรกิจ
DBD E-Newsletter

ผู้ทำบัญชี และคุณสมบัติของการเป็นผู้ทำบัญชี

ผู้ทำบัญชีคือใคร

ผู้ทำบัญชีเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการจัดทำและนำเสนอข้อมูลทางบัญชีของ นิติบุคคล คุณภาพของผู้ทำบัญชีย่อมส่งผลต่อคุณภาพของข้อมูลทางด้านบัญชี ผู้ทำบัญชีจึงจำเป็นต้องมีความรู้และประสบการณ์ในการจัดทำบัญชีและนำเสนองบ การเงินอย่างเพียงพอ พระราชบัญญัติการบัญชีได้ตระหนักถึงบทบาทของผู้ทำบัญชีต่อความถูกต้องของ ข้อมูลบัญชี จึงได้มีการกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้ทำบัญชีไว้ชัดเจน โดยมีการแบ่งแยกหน้าที่และความรับผิดชอบกับผู้มีหน้าท จัดทำบัญชี และได้กำหนดคุณสมบัติและเงื่อนไขของบุคคลที่จะเป็นผู้ทำบัญชีตามกฎหมายไว้ ด้วย
ผู้ทำบัญชี หมายถึง ผู้รับผิดชอบในการทำบัญชีของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี ไม่ว่าจะได้กระทำในฐานะเป็นลูกจ้างของ ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีหรือไม่ก็ตาม ซึ่งได้แก่ บุคคลดังต่อไปนี้
    1. กรณีเป็นพนักงานของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี ได้แก่ ผู้อำนวยการฝ่ายบัญชี สมุห์บัญชี หัวหน้าแผนกบัญชี หรือ ผู้ดำรงตำแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่น ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบเช่นเดียวกับผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว
    2. กรณีเป็นสำนักงานบริการรับทำบัญชี คือ
    • หัวหน้าสำนักงาน กรณีเป็นสำนักงานบริการรับทำบัญชีที่มิได้จัดตั้งในรูปคณะบุคคล
    • ผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งรับผิดชอบในการให้บริการรับทำบัญชี กรณีที่เป็นสำนักงานบริการรับทำบัญชีที่จัดตั้งในรูปคณะบุคคล
    • กรรมการหรือผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งรับผิดชอบในการให้บริการรับทำบัญชี กรณีที่เป็นสำนักงานบริการรับทำบัญชีที่จดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคล
    • บุคคลธรรมดา กรณีที่เป็นผู้รับจ้างทำบัญชีอิสระ
    1. ผู้ ช่วยผู้ทำบัญชี ในกรณีที่ผู้ทำบัญชีรับทำบัญชีเกินกว่า 100 ราย ตามที่กำหนดในประกาศกรมทะเบียนการค้า เรื่อง กำหนดคุณสมบัติและเงื่อนไขของการเป็นผู้ทำบัญชี พ.ศ. 2543 ข้อ 7 ( 3 ) ซึ่งผู้ช่วยทำบัญชีในที่นี้ต้องมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับผู้ทำบัญชีและถือ เป็นผู้ทำบัญชีตามกฎหมายบัญชี
    2. บุคคลอื่นนอกจากที่กล่าวข้างต้น ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการทำบัญชีของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี

คุณสมบัติของการเป็นผู้ทำบัญชี

เนื่องจากบุคคลที่มีความรับผิดชอบดังกล่าวข้างต้น ถือเป็นผู้ทำบัญชีตามกฎหมายบัญชี ซึ่งผู้ทำบัญชีดังกล่าวจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ทางด้านการบัญชีมาโดยเฉพาะ จึงต้องมีคุณสมบัติที่กฎหมายกำหนดจึงจะเข้ามาเป็นผู้ทำบัญชีของผู้มีหน้าที่ จัดทำบัญชีตามกฎหมายบัญชีได้ และผู้ทำบัญชีจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ในประกาศกรมทะเบียนการค้า เรื่อง กำหนดคุณสมบัติและเงื่อนไขของการเป็นผู้ทำบัญชี พ.ศ. 2543 ประกาศเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2543 โดยมีข้อกำหนดโดยสรุปดังนี้

คุณสมบัติของการเป็นผู้ทำบัญชี

  1. มีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร
  2. มีความรู้ภาษาไทยเพียงพอที่จะทำหน้าที่เป็นผู้ทำบัญชีได้
  3. ไม่เคยต้องโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เนื่องจากได้กระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชี หรือกฎหมายว่าด้วยผู้สอบบัญชี หรือ กฎหมายว่าด้วยวิชาชีพบัญชี เว้นแต่พ้นระยะเวลาที่ถูกลงโทษมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามปี
  4. มีคุณวุฒิทางการศึกษาซึ่งทบวงมหาวิทยาลัย หรือคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ( กพ. ) หรือ กระทรวงศึกษาธิการ เทียบว่าไม่ต่ำกว่าคุณวุฒิดังนี้

          ( 1 ) อนุปริญญาหรือประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ( ปวส. ) ทางการบัญชีหรือเทียบเท่า ซึ่งสามารถเป็นผู้ทำบัญชีของ

                 - ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน

                 - บริษัทจำกัด ซึ่ง ณ วันปิดบัญชีในรอบปีบัญชีที่ผ่านมามี ทุนจดทะเบียนไม่เกินห้าล้านบาท มี สินทรัพย์รวมไม่เกินสามสิบล้านบาท และ รายได้รวมไม่เกินสามสิบล้านบาท

           ( 2 ) ปริญญาตรีทางการบัญชีหรือเทียบเท่า ซึ่งสามารถเป็นผู้ทำบัญชีของห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนหรือ บริษัทจำกัด

นอกจากคุณสมบัติที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ถ้าต้องการเป็นผู้จัดทำบัญชีในยุคโลกาภิวัฒน์ ต้องใฝ่รู้ ต้องมีคุณธรรม มีวินัย จรรยาบรรณ จริยธรรม มีความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์ และที่สำคัญยิ่งต้องทำให้เกิดประโยชน์แก่สังคมและประเทศ ชาติให้มากที่สุด จึงจะเป็นผู้จัดทำบัญชีได้
 

ที่มา ..ข้อมูลจากเอกสารเผยแพร่ ของ กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ 
          รวบรวมเนื้อหาโดย อ. วาสนา อุปละกุล

การแปรสภาพห้างหุ้นส่วนมาเป็นบริษัทจำกัด

ปัจจุบัน กฎหมายได้เอื้ออำนวยความสะดวก รวดเร็วในการจัดตั้งธุรกิจและสร้างความน่าเชื่อถือในการติดต่อธุรกิจการค้า ให้แก่ ผู้ประกอบธุรกิจ โดยได้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยหุ้นส่วนบริษัท ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2551 เป็นต้นไป

การแปรสภาพห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลและห้างหุ้นส่วนจำกัด เป็นบริษัทจำกัด โดยใช้ชื่อเดิมได้  ก็เป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไข กฎหมายดังกล่าวโดยการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวได้ลดขั้นตอนต่างๆ ไม่ต้องเสียเวลาในการที่จะต้องมาจดทะเบียนใหม่ ซึ่งจากเดิมหากต้องการเปลี่ยนเป็นบริษัทจะต้องจดทะเบียนเลิกห้างหุ้นส่วน สามัญนิติบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนจำกัดแล้วมาจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทขึ้นใหม่ และไม่สามารถใช้ชื่อเดิมของห้างฯ เพื่อการจัดตั้งบริษัทได้

การจดทะเบียนแปรสภาพห้างหุ้นส่วนเป็นบริษัทจำกัด ประกอบด้วย
1. ห้างหุ้นส่วนนั้น ต้องมีผู้เป็นหุ้นส่วนตั้งแต่สามคนขึ้นไป
2. ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคน ต้องร่วมกันทำบันทึกข้อตกลงยินยอม ให้แปรสภาพเป็นบริษัทจำกัด
3. หุ้นส่วนผู้จัดการห้าง ต้องมีหนังสือแจ้งความยินยอมของผู้เป็นหุ้นส่วน ให้นายทะเบียนทราบภายในสิบสี่วัน นับแต่วันที่ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนให้ความยินยอม  โดยแนบสำเนาบันทึกข้อตกลงยินยอมให้แปรสภาพเป็นบริษัทจำกัดด้วย โดยห้างหุ้นส่วนที่มีสำนักงานแห่งใหญ่ ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ให้ส่งหนังสือแจ้งความยินยอมที่สำนักบริการข้อมูลธุรกิจ หรือ ส่วนจดทะเบียนธุรกิจกลาง หรือสำนักงานบริการจดทะเบียนธุรกิจแห่งใด แห่งหนึ่ง

สำหรับห้างหุ้นส่วนที่มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดอื่น ให้ส่งหนังสือแจ้งความยินยอม ได้ที่สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าจังหวัดที่ห้างหุ้นส่วนนั้น มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่
4. ห้างหุ้นส่วนต้องประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่อย่างน้อยหนึ่งคราว และมีหนังสือบอกกล่าว ไปยังเจ้าหนี้ของห้างหุ้นส่วนให้ทราบเรื่องที่ห้างหุ้นส่วน จะแปรสภาพเป็นบริษัทจำกัด
5. เมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันที่บอกกล่าวแล้ว ไม่มีผู้ใดคัดค้าน หุ้นส่วนผู้จัดการต้องจัดให้มีการประชุมผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคน เพื่อให้ความยินยอมและดำเนินการในเรื่องดังต่อไปนี้
5.1 จัดทำหนังสือบริคณห์สนธิและข้อบังคับของบริษัท (ถ้ามี)
5.2  กำหนดทุนเรือนหุ้นของบริษัท ซึ่งต้องเท่ากับส่วนลงหุ้นของผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนในห้างหุ้นส่วน และกำหนดจำนวนหุ้นของบริษัทที่จะตกได้แก่หุ้นส่วนแต่ละคน
5.3 กำหนดจำนวนเงินที่ได้ใช้แล้วในแต่ละหุ้น (ไม่น้อยกว่าร้อยละ 25)
5.4 กำหนดจำนวนหุ้นสามัญหรือหุ้นบุริมสิทธิ รวมทั้งกำหนดสภาพและบุริมสิทธิของหุ้นซึ่งจะออกและจัดสรรหุ้นให้แก่ผู้เป็นหุ้นส่วน
5.5 แต่งตั้งกรรมการและกำหนดอำนาจของกรรมการ
5.6 แต่งตั้งผู้สอบบัญชี
5.7 ดำเนินการในเรื่องอื่นๆ ที่จำเป็นในการแปรสภาพ
6. หุ้น ส่วนผู้จัดการเดิมต้องส่งมอบกิจการ ทรัพย์สิน บัญชี เอกสารและหลักฐานต่าง ๆ ของห้างหุ้นส่วน ให้แก่กรรมการบริษัทภายในสิบสี่วัน นับแต่วันที่ผู้เป็นหุ้นส่วนได้ให้ความยินยอมและดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ตาม 5. เสร็จสิ้นแล้ว
7. ในกรณีที่ผู้เป็นหุ้นส่วน ยังไม่ได้ชำระเงินค่าหุ้น หรือชำระเงินค่าหุ้น ไม่ครบร้อยละยี่สิบห้าของมูลค่าหุ้น หรือยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สิน หรือทำเอกสารหลักฐานการใช้สิทธิต่าง ๆ ให้แก่คณะกรรมการ คณะกรรมการบริษัทต้องมีหนังสือแจ้งให้ผู้เป็นหุ้นส่วน ชำระเงินค่าหุ้น โอนกรรมสิทธิ์ หรือทำเอกสารหลักฐานการใช้สิทธิต่าง ๆ แล้วแต่กรณี ให้แก่คณะกรรมการภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้ง
8. คณะกรรมการต้องยื่นคำขอจดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทจำกัด ต่อนายทะเบียน ภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่ได้ดำเนินการตาม (7) ครบถ้วนแล้ว
เมื่อนายทะเบียนรับจดทะเบียนแปรสภาพห้างหุ้นส่วนเป็นบริษัทจำกัดแล้ว ห้างหุ้นส่วนเดิมหมดสภาพการเป็นห้างหุ้นส่วน และห้างหุ้นส่วนที่จะแปรสภาพเป็นบริษัทจำกัด จะต้องไม่มีชื่อบริษัท วัตถุที่ประสงค์ทุนจดทะเบียน ผู้ถือหุ้นและส่วนลงหุ้นของแต่ละคน แตกต่างไปจากที่ห้างหุ้นส่วนได้จดทะเบียนไว้เดิม
ข้อมูลที่ต้องใช้ในการแปรสภาพห้างหุ้นส่วนเป็นบริษัทจำกัด
1. ชื่อของบริษัท
2. ที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ (ตั้งอยู่ ณ จังหวัดใด)
3. วัตถุที่ประสงค์ของบริษัทที่จะประกอบกิจการค้า
4. ข้อบังคับ (ถ้ามี)
5. จำนวนทุน (ค่าหุ้น) ที่เรียกชำระแล้ว อย่างน้อยร้อยละ 25 ของทุนจดทะเบียน
6. ชื่อ ที่อยู่ อายุของกรรมการ
7. ชื่อ ที่อยู่ อาชีพ สัญชาติ และจำนวนหุ้นของผู้ถือหุ้นแต่ละคน
8. รายชื่อหรือจำนวนกรรมการที่มีอำนาจลงชื่อแทนบริษัท (อำนาจกรรมการ) *ดูตัวอย่างการกำหนดอำนาจกรรมการ*
9. ชื่อ เลขทะเบียนผู้สอบบัญชีรับอนุญาตพร้อมค่าตอบแทน
10. ตราสำคัญ 


ที่มา - เว็บสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม

ระวัง ต้องลงโฆษณาในนสพ.และส่งไปรษณีย์ตอบรับทุกครั้งที่ประชุมผู้ถือหุ้น !!

สรุป ข่าวสารที่น่าสนใจเกี่ยวกับประเด็นการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยหุ้นส่วนบริษัท ที่มีผลใช้บังคับแล้วตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2551 ที่ผ่านมา เพื่อให้ผู้อ่านที่เป็นผู้ประกอบการได้รับทราบความเคลื่อนไหวและเตรียมความ พร้อมในการปฎิบัติให้ถูกต้องตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้

การแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการคือ หนึ่งเพื่อเพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการจัดตั้งธุรกิจ และสองสร้างความน่าเชื่อถือในการดำเนินกิจการมากยิ่งขึ้น ซึ่งมีสาระสำคัญโดยสรุปดังนี้

1.    
 มาตรการเพิ่มความสะดวกรวดเร็วแก่ธุรกิจ

มีการปรับลดจำนวนผู้เริ่มก่อการตั้งบริษัทจากเดิมที่กำหนดไว้ 7 คน ลงเหลือเพียง 3 คน  และ สามารถจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิและจัดตั้งบริษัทได้ภายในวันเดียวกัน ซึ่งแก้ไขจากเดิมที่ต้องแยกการจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิก่อนแล้วจึงออก หนังสือนัดประชุมตั้งบริษัท โดยต้องบอกกล่าวล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน หลังการประชุม แล้วจึงมาขอจดทะเบียนตั้งบริษัทได้

ประเด็น ต่อมาคือจากนี้ไปผู้ประกอบการสามารถแปรสภาพห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลและ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เป็นบริษัทจำกัด โดยใช้ชื่อเดิมได้ แก้ไขจากเดิมที่หากผู้ประกอบการต้องการเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินกิจการเป็น บริษัทจะต้องดำเนินการจดทะเบียนเลิกห้างก่อนแล้วจึงสามารถจดทะเบียนจัดตั้ง บริษัทขึ้นใหม่ได้ และไม่สามารถใช้ชื่อเดิมของห้างเพื่อการจัดตั้งบริษัท

อีก ประเด็นที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งก็คือการประชุมใหญ่เพื่อให้เป็นมติพิเศษตาม กฎหมายเดิมกำหนดให้ต้องประชุมสองครั้ง แก้ไขให้ประชุมเพียงครั้งเดียว และลดการประกาศโฆษณาทางหนังสือพิมพ์ ในกรณีต้องการลดทุนและควบบริษัท   จากเดิมต้องลง 7 ครั้ง เหลือเพียงครั้งเดียว และลดระยะเวลาการคัดค้านของเจ้าหนี้ลงด้วย  นอกจากนั้นยังลดการประกาศโฆษณาทางหน้าหนังสือพิมพ์ในเรื่องอื่น ๆ ที่กฎหมายกำหนดไว้จากเดิมสองครั้งเหลือเพียงครั้งเดียวทั้งหมด

2.     มาตรการเพิ่มความน่าเชื่อถือในการลงทุนและติดต่อธุรกิจการค้า

ประเด็นที่มีผู้ให้ความสนใจกันค่อนข้างมากก็คือ มาตรา
1175 ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ3 ลักษณะ22 ว่าด้วยหุ้นส่วนและบริษัทที่ว่า บริษัทจำกัดที่จัดตั้งแล้วหากมีการบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่จะต้องลงพิมพ์ โฆษณาในหนังสือพิมพ์ท้องที่อย่างน้อยหนึ่งครั้ง และต้องส่งทางไปรษณีย์ตอบรับ (ไปรษณีตอบรับนะครับ มิใช่ไปรษณีย์ทั่วไป) เพื่อเป็นมาตรการรักษาประโยชน์ของผู้ถือหุ้น ทั้งนี้จากเดิมที่ได้กำหนดให้เรียกประชุมโดยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้

เรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงแก้ไขการบอกกล่าวประชุมใหญ่นี้ได้มีผู้สรุปความเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจไว้ดังนี้


การเรียกประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อลงมติทั่วไป
เดิม
ใหม่
1. ประกาศหนังสือพิมพ์ท้องที่ฉบับหนึ่ง อย่างน้อย 2 ครั้งก่อนประชุมไม่น้อยกว่า 7 วัน หรือ
1. ประกาศในหนังสือพิมพ์ท้องที่อย่างน้อย 1 ครั้งก่อนประชุมไม่น้อยกว่า 7 วัน และ
2. ส่งหนังสือแจ้งผู้ถือหุ้นทุกคนที่มีชื่อในทะเบียนทางไปรษณีย์ก่อนวันประชุมไม่น้อยกว่า 7 วัน
2. ส่งไปรษณีย์ตอบรับแจ้งผู้ถือหุ้นทุกคนที่มีชื่อในทะเบียนก่อนวันประชุมไม่น้อยกว่า 7 วัน
 
มติพิเศษ

เดิม
ใหม่
1. ประกาศหนังสือพิมพ์ท้องที่ฉบับหนึ่ง อย่างน้อย 2 ครั้งก่อนประชุมไม่น้อยกว่า 7 วัน หรือ
1. ประกาศในหนังสือพิมพ์ท้องที่อย่างน้อย 1 ครั้งก่อนประชุมไม่น้อยกว่า 14 วัน และ
2. ส่งหนังสือแจ้งผู้ถือหุ้นทุกคนที่มีชื่อในทะเบียนทางไปรษณีย์ก่อนวันประชุมไม่น้อยกว่า 7 วัน
2. ส่งไปรษณีย์ตอบรับแจ้งผู้ถือหุ้นทุกคนที่มีชื่อในทะเบียนก่อนวันประชุมไม่น้อยกว่า 14 วัน
3. ต้องประชุม 2 ครั้ง
3. ประชุมเพียง 1 ครั้ง




โดยสรุปก็คือนับจาก 1 กรกฎาคม 2551 เป็นต้นไป การประชุมใหญ่ ทั้งที่เป็นการประชุมสามัญและวิสามัญของบริษัทจำกัด ผู้ประกอบการจะต้องดำเนินการบอกกล่าวด้วยการประกาศลงใน หนังสือพิมพ์ท้องที่ อย่างน้อย 1 ฉบับ และส่งหนังสือเชิญประชุมเป็นไปรษณีย์ตอบรับ ถึงผู้ถือหุ้น ก่อนวันประชุมอย่างน้อย 7 วันก่อนการประชุม (ถ้าเป็นมติพิเศษ 14 วัน)

และในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้  บริษัทส่วนใหญ่ที่สิ้นรอบระยะเวลาบัญชีเมื่อ
31 ธันวาคม ทีผ่านมา จะต้องจัดประชุมใหญ่ภายใน 4 เดือนหรือภายใน 30 เมษายน (เพื่อส่งงบการเงินให้กับกระทรวงพาณิชย์ได้ภายใน 1 เดือนหลังประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อรับรองงบ และนำส่ง ภงด.50 ให้กับกรมสรรพากรภายใน 150วัน นับแต่สิ้นรอบบัญชี ทั้งนี้หลังจากได้จัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นและผู้สอบบัญชีรับรองงบแล้ว) ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นผู้ประกอบการก็จะต้องดำเนินการเรียกประชุมตามที่กฎหมาย แก้ไขใหม่กำหนดไว้ ทั้งการส่งไปรษณีย์ตอบรับแจ้งผู้ถือหุ้นและการลงประกาศในหนังสือพิมพ์ท้อง ที่อย่างน้อยหนึ่งครั้ง

จุดนี้มีข้อสังเกตประการหนึ่งคือ บริษัทส่วนใหญ่จะสิ้นรอบระยะเวลาบัญชีในวันที่
31 ธันวาคม และจะต้องจัดประชุมใหญ่ภายใน 4 เดือนหรือ 30 เมษายน ซึ่งจะเท่ากับว่าวันสุดท้ายที่บริษัทจะสามารถลงประกาศในหน้าหนังสือพิมพ์และ ส่งหนังสือเชิญประชุมด้วยไปรษณีย์ตอบรับถึงผู้ถือหุ้นล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วันนั้น หากไม่นับหัวนับท้าย วันสุดท้ายและท้ายสุดก็ไม่น่าจะเกินไปจากวันที่ 22 เมษายน

อย่างไรก็ดีบริษัทใดที่จัดทำและตรวจสอบงบฯแล้วเสร็จล่วงหน้าก็สามารถจัดประชุมได้ก่อนวันที่
30 เมษายน เพราะเหตุที่กฎหมายได้กำหนดไว้ว่า จะต้องจัดประชุมใหญ่ภายใน 4 เดือนหรือ 30 เมษายน ซึ่งเท่ากับว่าภายใน 4 เดือนนี้ หากพร้อมเสร็จสรรพก็สามารถจัดประชุมก่อน 30 เมษายนได้ ข้อดีของการจัดประชุมล่วงหน้าก็คือจะสามารถช่วยให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะผู้ ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดประชุมใหญ่โดยตรง ลดความเสี่ยงในการที่อาจจัดประชุมล่าช้าหรือไม่ถูกต้อง หรือเชิญประชุมและลงประกาศเชิญประชุมในหน้าหนังสือพิมพ์ไม่ทันหรือไม่มี พื้นที่ลงอันเนื่องมาจากบริษัทหลายจำนวนมากต่างจัดประชุมและต้องการลงประกาศ ในวันเดียวกัน

นอก จากประเด็นการเรียกประชุมใหญ่แล้วก็ยังมีเรื่องของการกำหนดให้นายทะเบียนมี อำนาจขีดชื่อห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลออกจากทะเบียนเป็นห้างร้านได้  แก้ไขจากเดิมที่ดำเนินการได้เฉพาะบริษัทจำกัดเท่านั้น

ประเด็น สุดท้ายคือกำหนดให้ห้างหุ้นส่วนและบริษัทที่ถูกขีดชื่อออกจากทะเบียนสิ้น สภาพนิติบุคคล และไม่สามารถตั้งผู้ชำระบัญชีเพื่อชำระสะสางทรัพย์สินหนี้สินของตนอีกต่อไป  แต่อาจร้องขอต่อศาลเพื่อสั่งให้นายทะเบียนจดชื่อคืนสู่ทะเบียนได้  ทั้งนี้ต้องร้องขอภายในสิบปีนับแต่วันถูกขีดชื่อออกจากทะเบียน

เนื่องจากการแก้ไขประเด็นกฎหมายดังกล่าวคงจะปฎิเสธไม่ได้แน่ว่าย่อมที่จะมีผลกระทบต่อสิทธิหน้าที่  และ ความรับผิดของผู้ประกอบการทุกท่าน ดังนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องหรือได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลในเรื่องที่ทั้ง หลายเหล่านี้จำเป็นที่จะต้องทราบและเตรียมการเพื่อการดำเนินการให้ถูกต้อง  เพื่อป้องกันมิให้เกิดกรณีปัญหาต่างๆในอนาคต แนะนำให้หากฎหมายที่แก้ไขใหม่นี้มาอ่านผ่านตากันดู.

ที่มา.. http://www.oknation.net/blog/paisalvision/2008/12/24/entry-6

การขอเปลี่ยนรอบบัญชีต้องทำอย่างไร

หากต้องการเปลี่ยนรอบบัญชีจะต้องขออนุญาตหรือไม่ มีวิธีการขออนุญาตอย่างไร และต้องยื่นคำขอที่ไหน

          ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีประสงค์จะขออนุญาตเปลี่ยนรอบปีบัญชีจะต้องขออนุญาตต่อสารวัตรใหญ่บัญชีหรือสารวัตรบัญชี ในการขออนุญาตต้องจัดเตรียมเอกสาร ดังนี้

  1. แบบคำขออนุญาต( ส.บช. 4) จำนวน 1 ชุด
  2. สำเนาหลักฐานของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี
    • สำเนาหนังสือรับรองรายการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล กรณีเป็นนิติบุคคล
    • สำเนาทะเบียนพาณิชย์ กรณีเป็นนิติบุคคลต่างประเทศที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย หรือบุคคลธรรมดา
    • สำเนาการขอมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร กรณีเป็นกิจการร่วมค้า
  3. สำเนาหนังสือของกรมสรรพากรที่อนุญาตให้เปลี่ยนรอบปีบัญชี (ถ้ามี)
  4. สำเนารายงานการประชุมผู้ถือหุ้นที่อนุมัติให้เปลี่ยนรอบปีบัญชี
  5. สำเนารายงานการประชุมจัดตั้งบริษัท หรือสำเนาข้อบังคับของบริษัท อย่างใดอย่างหนึ่ง (ถ้ามี)
  6. สำเนาแบบนำส่งงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุน (ส.บช. 3) ครั้งสุดท้ายก่อนการขออนุญาต
  7. หนังสือ มอบอำนาจที่ติดอากรครบถ้วนพร้อมสำเนาบัตรประชาชนของผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบ อำนาจ (กรณีผู้มีอำนาจลงนามแทนนิติบุคคลมอบหมายให้ผู้อื่นทำการแทน)

          ทั้ง นี้ สำเนาเอกสารประกอบคำขออนุญาตทุกฉบับจะต้องลงลายมือชื่อรับรองสำเนาโดยผู้มี อำนาจทำการแทนนิติบุคคลพร้อมประทับตราสำคัญ(ถ้ามี) หรือโดยผู้รับมอบอำนาจแล้วแต่กรณี

          บริษัท จำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัด ที่มีข้อบังคับระบุเรื่องรอบปีบัญชีให้ยื่นคำขออนุญาตเปลี่ยนรอบปีบัญชี พร้อมกับการขอจดทะเบียนข้อบังคับ โดยยื่นต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท

          กรณี เป็นนิติบุคคลที่มีสถานที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร ให้ยื่นคำขออนุญาตเปลี่ยนรอบปีบัญชีต่อสารวัตรบัญชีประจำสำนักงานบัญชีประจำ ท้องที่กรุงเทพมหานคร หรือยื่นต่อสารวัตรใหญ่บัญชีสำนักงานกลางบัญชี ณ สำนักกำกับดูแลธุรกิจกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

          กรณี เป็นนิติบุคคลที่มีสถานที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ในเขตท้องที่จังหวัด อื่น ให้ยื่นคำขออนุญาตเปลี่ยนรอบปีบัญชีต่อสารวัตรบัญชีประจำสำนักงานประจำท้อง ที่จังหวัด ณ สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าจังหวัดที่นิติบุคคลดังกล่าวตั้งอยู่หรือจะยื่น ต่อสารวัตรใหญ่บัญชี สำนักงานกลางบัญชี ณ สำนักกำกับดูแลธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีจะเปลี่ยนรอบปีบัญชีได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจาก สารวัตรใหญ่บัญชีหรือสารวัตรบัญชีแล้วจึงจะเปลี่ยนรอบปีบัญชีได้ ซึ่งในทางปฏิบัติเมื่อสารวัตรใหญ่บัญชีหรือสารวัตรบัญชีอนุญาตแล้วจะมี หนังสือแจ้งให้ทราบเป็นลายลักษณ์อักษร

 

ที่มา...กระทรวงพาณิชย์

จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทด้วยระบบอินเตอร์เต็ต

รีวิว: จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทด้วยระบบอินเทอร์เน็ต
โดย เรวัต ตันตยานนท์


เมื่อเถ้าแก่ใหม่ต้องการจัดตั้งบริษัท ร้อยทั้งร้อยจะต้องไต่ถามญาติสนิทมิตรสหาย ว่ามีใครที่พอจะสามารถรับทำให้ได้บ้าง
โดยต้องยอมเสียค่าใช้จ่ายเป็นค่าบริการจำนวนหนึ่งแลกกับการที่ต้องเสียเวลาติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
แต่ภายใต้การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการด้านไอที กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ซึ่งมีหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักในการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ได้นำเสนอการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทผ่านระบบอินเทอร์เน็ต เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับบรรดาผู้ประกอบการทั่วไป
โดยเฉพาะผู้ประกอบการรุ่นใหม่ไฟแรงที่ไม่กลัวอินเทอร์เน็ต
เฉพาะใน 4 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี นนทบุรี และ สมุทรปราการ ในช่วงเริ่มต้นของการให้บริการนี้
ผมเองก็เกิดอาการอดรนทนไม่ได้ ที่จะต้องไปทดลองแสวงหาสิ่งใหม่ๆ เหล่านี้ เพื่อที่จะนำมาเล่าต่อให้ท่านผู้อ่านได้ทราบ เพื่อนำเสนอเป็นทางเลือก
เผื่อจะมีประโยชน์ต่อท่าน หากต้องการจะจัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมากับเขาบ้าง
การจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทใหม่ หรือที่ภาษาราชการจะเรียกว่า “การจดทะเบียนนิติบุคคล” ธุรกิจด้วยระบบอินเทอร์เน็ตนั้น จะเริ่มต้นจากการเข้าไปลงทะเบียนสมัครเป็นสมาชิกที่เวบไซต์ www.dbd.or.th เสียก่อน
ในการลงทะเบียน ท่านจะต้องมี อีเมล ประจำตัวของท่านเอง เนื่องจากอาจมีการติดต่อสอบถามกลับมายังท่านผ่านระบบ อีเมล
ดังนั้น หากยังไม่มี อีเมล ใช้ประจำตัว ท่านจะต้องจัดหา อีเมล ของท่านให้ได้เสียก่อน
ขั้นตอนการลงทะเบียนเป็นสมาชิก ก็ไม่ยุ่งยาก โดยต้องตอบคำถามต่างๆ เกี่ยวกับสถานภาพของตัวเอง เช่น ชื่อ ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ บัตรประจำตัวประชาชน ฯลฯ ตามปกติทั่วไป
เมื่อกรอกข้อมูลต่างๆ ครบถ้วนและยื่นขอรับการลงทะเบียนแล้ว ท่านจะต้องรอรับ ชื่อ User Name และ รหัสผ่าน Password ผ่านทางอีเมล เพื่อนำมาใช้ในการเข้าสู่ระบบต่อไป
ขั้นตอนนี้ก็ใช้เวลาไม่นาน ประมาณ 1-2 วันทำงาน ก็จะได้รับคำตอบกลับมา ผมคาดว่าจะเป็นการตอบกลับแบบอัตโนมัติด้วยคอมพิวเตอร์ จึงใช้เวลาไม่นานมาก
การลงทะเบียนเป็นสมาชิกของระบบ จะทำให้ท่านสามารถเป็นผู้ยื่นคำร้องต่างๆ ในการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทผ่านระบบอินเทอร์เน็ตได้ด้วยตัวเอง ในชื่อของท่านเองในฐานะเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งบริษัท
เมื่อได้รับ ชื่อ User Name และ รหัสผ่าน มาแล้ว ท่านก็จะสามารถเข้าสู่ระบบได้เพื่อดำเนินการขั้นต่อไปได้
โดยทั่วไปแล้ว การจดทะเบียนจัดตั้งบริษัททางระบบอินเทอร์เน็ต จะมีขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
1. จองชื่อนิติบุคคล
2. จดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิ
3. จดทะเบียนบริษัท
ซึ่งผมจะพาท่านท่องเน็ต ผ่านขั้นตอนต่างๆ เหล่านี้โดยละเอียดพอสมควร เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้มองเห็นภาพคร่าวๆ ว่าท่านพอที่จะดำเนินการด้วยตัวเองได้หรือไม่
หากทำได้ ก็จะประหยัดค่าใช้จ่ายก้อนแรกในการเริ่มธุรกิจใหม่ของท่านไปได้ก้อนหนึ่ง ก็คือ ค่าจ้างหรือค่าบริการในการดำเนินการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท
ถึงแม้จะเป็นเงินเพียงไม่กี่พันบาทก็ตาม
ขั้นตอนแรกสุดของการจัดตั้งบริษัท จะเริ่มจากการ จองชื่อนิติบุคคล หรือการจองชื่อบริษัทที่ท่านต้องการ
และเนื่องจากชื่อทางธุรกิจ หรือ ชื่อบริษัทนั้น จะซ้ำกันไม่ได้ เพราะถ้าชื่อบริษัทซ้ำกัน บุคคลทั่วไปก็คงจะต้องเกิดอาการงุนงงสงสัย ไม่ทราบว่าใครเป็นใครกันแน่ อาจสร้างความวุ่นวายต่างๆ ขึ้นได้
ด้วยระบบอินเทอร์เน็ต ท่านจะสามารถตรวจสอบรายชื่อของบริษัทต่างๆ ที่ได้จดทะเบียนไว้กับ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้ทั้งหมด เพื่อไม่ให้ชื่อที่ท่านเลือกไว้ ตรงกับบริษัทที่ได้จัดตั้งขึ้นแล้ว
ก็คงต้องเป็นระบบใครมาก่อนได้ก่อนแหละครับ
หากชื่อที่ท่านคิดไว้ มีผู้ใช้ไปก่อนแล้ว ท่านก็จะต้องเลือกหาชื่อใหม่ต่อไป จนกระทั่งตรวจสอบได้ว่า เป็นชื่อที่ไม่ซ้ำกับใคร
ในระหว่างการค้นหาผ่านระบบอินเทอร์เน็ตนี้ ท่านก็จะได้ประจักษ์กับตัวเองว่า ชื่อบริษัทในใจของท่าน ที่คิดว่า เจ๋งสุดขีด เป็น นวัตกรรมสุดยอดจากความคิดสร้างสรรค์ของท่านนั้น อาจเป็นชื่อที่ผู้อื่นได้คิดไว้ก่อนท่านตั้งนานแล้ว
และท่านยังอาจได้เห็นการตั้งชื่อบริษัทต่างๆ ที่หวือหวา ทันสมัย หรือ จ๊าบ เกินกว่าที่ท่านเคยคิดไว้ก็ได้
ในการตั้งชื่อบริษัทนั้น ทางการได้กำหนดกฎเกณฑ์ที่จะต้องปฏิบัติตาม โดยชื่อที่จะขอจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัด หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด นั้น จะต้องไม่มีคำ หรือ ข้อความใดๆ ดังต่อไปนี้
(1) พระนามของพระเจ้าแผ่นดิน พระมเหสี รัชทายาท หรือ พระบรมวงศานุวงศ์ในพระราชวงศ์ปัจจุบัน ยกเว้นแต่จะได้รับพระบรมราชานุญาต
(2) ชื่อกระทรวง ทบวง กรม ส่วนราชการ ราชการส่วนท้องถิ่น หน่วยงาน หรือ องค์การของรัฐ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงที่เกี่ยวข้อง
(3) ชื่อประเทศ เว้นแต่จะระบุไว้ภายในวงเล็บต่อท้ายชื่อ และที่อยู่นำหน้าคำว่า “จำกัด”
(4) ชื่อที่อาจก่อให้เกิดสำคัญผิดว่า รัฐบาล กระทรวง ทบวง กรม ส่วนราชการ ราชการส่วนท้องถิ่น หน่วยงานหรือองค์กรของรัฐ ทั้งของประเทศไทยหรือต่างประเทศ เป็นเจ้าของหรือดำเนินการ
(5) ชื่อที่ขัดต่อแนวนโยบายของรัฐ หรือ ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
(6) ชื่อซึ่งมีคำว่า “บริษัทมหาชนจำกัด” หรือ “บริษัทจำกัด (มหาชน)” หรือ “บมจ.” หรือชื่อที่เรียกขานคล้ายกับคำเหล่านี้
(7) ชื่อภาษาไทย หรือ ภาษาต่างประเทศ ซึ่งมีความหมาย หรือ ทำให้เข้าใจได้ว่า ประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ กิจการประกันภัย กิจการจัดหางาน หรือ กิจการคลังสินค้า เพราะ ธุรกิจเหล่านี้จะต้องไปจดทะเบียนเฉพาะซึ่งแตกต่างจากกิจการของบริษัทจำกัด
(Cool ชื่อที่ซ้ำกับชื่อที่ได้ยื่นจดทะเบียนไว้แล้ว ในลักษณะที่จะทำให้เกิดการหลงผิดคิดได้ว่าเป็นบริษัทเดียวกัน
เมื่อตรวจค้น และ ตั้งชื่อบริษัทของท่านได้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ และถูกใจของท่านเองได้แล้ว ท่านก็สามารถขอจองชื่อกับนายทะเบียนได้โดยการป้อนข้อมูลต่างๆ และทำตามขั้นตอนที่ระบุไว้
นอกจากนี้ ผู้ขอจองชื่อจะต้องเป็น ผู้เริ่มก่อการ หรือ กรรมการ หรือ ผู้เป็นหุ้นส่วน หรือ หุ้นส่วนผู้จัดการ ของนิติบุคคล หรือของ นิติบุคคลที่จะจัดตั้ง แล้วแต่กรณี เท่านั้น
ภายหลังการยื่นแบบฟอร์มผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ท่านจะต้องเข้าไปตรวจสอบผลการจองชื่อของท่านเป็นระยะๆ ดูว่า ชื่อที่ท่านขอจองไว้นั้นได้รับการตรวจสอบและรับรองจากนายทะเบียน หรือยัง
ขั้นตอนนี้ สำหรับกรณีของผมเอง พบว่าใช้เวลาประมาณ 4-5 วันทำงาน โดยต้องคอยคลิกเข้าไปติดตามดูผลงานทุกวัน
ทางที่ดี ทางกรมพัฒนาธุรกิจการค้า น่าจะใช้วิธีแจ้งกลับทางอีเมล ผู้ยื่นขอจะได้ไม่ต้องนั่งนับวันนับคืน และต้องคอยติดตามเข้าเวบเพื่อตรวจสอบทุกวัน
เมื่อได้รับการรับรองการจองชื่อกับนายทะเบียนแล้ว ท่านสามารถพิมพ์ใบรับรองออกมาโดยเครื่องพิมพ์ของท่านเอง และใช้เป็นเอกสารแนบในการขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทในขั้นตอนต่อไปได้
ชื่อที่ได้รับอนุญาตให้จองต้องนำไปจดทะเบียนภายใน 30 วัน นับแต่วันที่นายทะเบียนรับจอง หากพ้นกำหนดนี้ต้องขอจองชื่อใหม่
บทความในสัปดาห์ต่อไป จะเป็นประสบการณ์ของผมในการจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิ ผ่านระบบอินเทอร์เน็ตครับ!!
เรวัต ตันตยานนท์ เชี่ยวชาญด้สนธุรกิจเอสเอ็มอี จบปริญญาโทสำหรับผู้บริหาร รุ่นที่ 13 ของคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ที่มา: http://www.bangkokbizweek.com/




รีวิว: จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทด้วยระบบอินเทอร์เน็ต (2)
เรวัต ตันตยานนท์

สัปดาห์ที่แล้ว ผมนำท่านเถ้าแก่ใหม่ไฮเทค ไปทดลองสำรวจโลก E-Government กับ บริการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ของ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
โดยในขั้นตอนแรกสุดของการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ก็คือ การขอจองชื่อนิติบุคคล ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต
ซึ่งหากทำได้สำเร็จเรียบร้อยตามเงื่อนไขของการตั้งชื่อ เช่น ไม่เป็นชื่อซ้ำ หรือ เป็นชื่อที่ต้องห้าม ท่านก็จะสามารถพิมพ์ (print out) เอกสาร แบบแจ้งผลการจองชื่อนิติบุคคล ที่สามารถนำไปใช้ประกอบในการยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทใหม่ได้ ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่นายทะเบียนรับจอง
หากพ้นกำหนด 30 วัน จะต้องกลับไปที่จุดเริ่มต้น คือ ต้องยื่นขอจองชื่อใหม่อีกครั้งหนึ่ง
แต่มีเสียงกระซิบบอกมาว่า การยื่นขอจดทะเบียนฯ ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ทางนายทะเบียน มักจะยอมอนุญาตให้ แบบแจ้งผลการจองชื่อนิติบุคคล เกินอายุได้อีก 5 วัน โดยผู้ประกอบการไม่ต้องกลับไปเริ่มต้นที่ศูนย์ใหม่
ถือเป็นการบริการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนอีกรูปแบบหนึ่ง!!!
เมื่อได้รับอนุญาตจองชื่อบริษัทที่ต้องการได้แล้ว ขั้นตอนต่อไป ท่านจะต้องทำการ จดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิ เสียก่อน
บริคณห์สนธิ คือ เอกสารที่ผู้เริ่มก่อการแสดงความประสงค์ที่จะจัดตั้งบริษัทขึ้นตามกฎหมาย
ข้อมูลที่ท่านจะต้องเตรียมให้พร้อมก่อนการ จดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิ ด้วยระบบอินเทอร์เน็ต ได้แก่
1. ชื่อ ที่อยู่ หมายเลขบัตรประจำตัว อายุ อาชีพ ของ บุคคลผู้เริ่มก่อการ จำนวน 7 คนขึ้นไป
การจัดตั้งเป็น บริษัทจำกัด จำเป็นที่จะต้องมีผู้เริ่มก่อการอย่างน้อย 7 คน ตามกฎหมาย
หากไม่ครบ 7 คน ท่านเถ้าแก่ใหม่ ก็จะต้องออกแรงไปเสาะแสวงหาบุคคลที่ท่านพอจะรู้จักไว้เนื้อเชื่อใจ พอที่ท่านจะอาศัยชื่อของเขาไปเป็นผู้ร่วมก่อการได้
ความยากลำบาก ก็อาจจะเริ่มต้นขึ้นต่อท่าน ตั้งแต่ขั้นตอนนี้
หากท่านใช้วิธีจ้างให้คนอื่นจดทะเบียนบริษัทให้ ผู้รับจ้างก็พร้อมที่จะหาชื่อผู้เริ่มก่อการให้ท่านได้ครบตามจำนวน โดยไม่ต้องสร้างความลำบากแก่ท่านแต่อย่างใด
เพียงแต่ท่านจะต้องเสียเงินเป็นค่าบริการจำนวนหนึ่งเท่านั้นเอง
นอกจากนี้ ยังจะต้องเตรียมจัดหา พยาน อีก 2 คน เพื่อ รับรองว่า ผู้เริ่มก่อการทั้งหมด ได้ลงลายมือชื่อต่อหน้าพยานไว้ถูกต้อง
สำหรับการจดทะเบียนทางอินเทอร์เน็ต ผู้ที่ลงทะเบียนเป็นสมาชิกเวบไซต์ของ www.dbd.go.th ซึ่งใช้สิทธิเป็นผู้ขอจองชื่อนิติบุคคล จะต้องมีรายชื่ออยู่เป็น 1 ในกลุ่มผู้ริเริ่มก่อการ และต้องทำหน้าที่เป็น ผู้ริเริ่มก่อการผู้ขอจดทะเบียน ด้วย ตามระบบที่กำหนดไว้
ข้อมูลที่ท่านจะต้องมีพร้อมอยู่ในมือลำดับต่อไป ก็คือ
2. ทุนจดทะเบียนของบริษัท จำนวนหุ้น และ มูลค่าหุ้น ที่จะให้ผู้ก่อการเข้าซื้อ
สำหรับ มูลค่าหุ้น ส่วนใหญ่ก็จะกำหนดไว้ที่ หุ้นละ10 บาท บ้าง 100 บาท บ้าง แล้วแต่ที่เจ้าของบริษัทต้องการ ไม่ค่อยที่จะเห็นการตั้งมูลค่าหุ้น 2 บาท หรือ 3 บาท
ตั้งเป็นเศษสตางค์ก็ไม่ได้ เพราะกฎหมายไม่อนุญาตให้ตั้ง มูลค่าหุ้นจัดตั้ง ให้มีเศษสตางค์
ดังนั้น บริษัทที่ต้องการทุนจดทะเบียน 1,000,000 (1 ล้าน) บาท และกำหนด มูลค่าหุ้นไว้ในราคาหุ้นละ 100 (1 ร้อย) บาท จะต้องมีจำนวนหุ้นทั้งหมด 10,000 (1 หมื่น) หุ้น เป็นต้น
เมื่อกำหนดจำนวนหุ้นได้แล้ว จะต้องกำหนดต่อไปอีกว่า ผู้ริเริ่มก่อการทั้ง 7 คน นั้น จะซื้อหุ้นไว้คนละจำนวนกี่หุ้น ให้ครบตามจำนวนหุ้นทั้งหมดที่ตั้งไว้
หากท่านสังเกตพบเห็นรายชื่อผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นในบริษัทไว้จำนวนเพียง 1 หุ้น ท่านก็อาจตีความได้เลยว่า ผู้ถือหุ้นรายนั้นอาจเป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มก่อการ ที่ถูก “เกณฑ์” หรือ “อุปโลกน์” ขึ้นมาเพื่อให้ครบ 7 คนตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้นเอง
ข้อมูลชุดต่อไปที่จะต้องเตรียมตัดสินใจไว้ก่อนการยื่นขอจดทะเบียน หนังสือบริคณห์สนธิ ก็คือ
3. รายละเอียดวัตถุที่ประสงค์ ของบริษัท
ผมเข้าใจว่า คำว่า “รายละเอียดวัตถุที่ประสงค์ “ เป็นภาษาที่ใช้ในกฎหมาย ภาษาที่ชาวบ้านเข้าใจง่ายๆ ก็คือ “วัตถุประสงค์” ที่ต้องการจะจัดตั้งบริษัทขึ้นมา นั่นเอง
เจ้าของบริษัท หรือ ผู้ที่ต้องการตั้งบริษัทขึ้นมา จะต้องชี้แจงต่อทางการว่า ที่ท่านต้องการจะจัดตั้งบริษัทขึ้นมานั้น ท่านมีวัตถุประสงค์เช่นใด
ขั้นตอนนี้ก็ไม่ยากเย็นเท่าไรครับ
เพราะว่าทางราชการ ได้กำหนด รายละเอียดวัตถุที่ประสงค์ ที่เป็นมาตรฐานไว้ให้ล่วงหน้าแล้ว
มีทั้งสำหรับ ธุรกิจบริการ, ธุรกิจพาณิชยกรรม หรือ ธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิต ให้เลือกตามความเหมาะสม
ยกตัวอย่างเช่น รายละเอียดวัตถุที่ประสงค์ สำหรับ ธุรกิจพาณิชยกรรม ที่กำหนดไว้เป็นมาตรฐานสำเร็จรูป จะมีอยู่ 22 ข้อ ครอบจักรวาลไว้ก่อน เช่น บริษัทสามารถที่จะ ซื้อ จัดหา รับ เช่า เช่าซื้อ ถือกรรมสิทธิ์ ครอบครอง ปรับปรุง ใช้ ทรัพย์สินใดๆ
ขาย โอน จำนอง จำนำ แลกเปลี่ยน และจำหน่าย ทรัพย์สิน
เป็นนายหน้า ตัวแทน ตัวแทนค้าต่างในกิจการทุกประเภท ยกเว้นธุรกิจที่กฎหมายห้าม เช่น ธุรกิจประกันภัย การหาสมาชิกให้กับสมาคม และ การค้าหลักทรัพย์ เป็นต้น ซึ่งเป็นกิจการที่มีกฎหมายเฉพาะควบคุม
กู้ยืมเงิน ให้กู้ยืมเงิน ทั่วไปที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจธนาคาร ธุรกิจเงินทุน และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
จัดตั้งสำนักงานสาขา หรือ สำนักงานตัวแทน ทั้งในและนอกประเทศ
เข้าเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด หรือ บริษัทมหาชนจำกัด
นอกจากนี้ยังครอบคลุม การทำพาณิชยกรรมต่างๆ ไว้ เช่น
การค้าสัตว์มีชีวิต เนื้อสัตว์ชำแหละ, การค้าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เช่น ข้าว ข้าวโพด และพืชไร่ต่างๆ รวมถึงผลิตภัณฑ์จากสินค้าเหล่านั้น เช่น ครั่ง ไม้ แร่ ยาง, การค้าผักผลไม้ต่างๆ, บุหรี่ ยาเส้น, เครื่องดื่ม น้ำดื่ม น้ำแร่ และเครื่องบริโภคอื่น, การค้าผ้า เส้นใย เสื้อผ้าสำเร็จรูป สิ่งทอ, อุปกรณ์การกีฬา, การค้าวัสดุก่อสร้าง เครื่องมือช่าง เครื่องสุขภัณฑ์ อุปกรณ์ประปา, การค้าเครื่องจักร เครื่องยนต์ เครื่องมือกล ยานพาหนะ เครื่องกำเนิดไฟฟ้า, กิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง ถ่านหิน ผลิตภัณฑ์อื่นที่ก่อให้เกิดพลังงาน สถานีบริการเชื้อเพลิง, การค้ายา เภสัชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ เครื่องมือเครื่องใช้ทางวิทยาศาสตร์ ปุ๋ย ยาปราบศัตรูพืช, เครื่องสำอาง อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้เพื่อเสริมความงาม, การค้ากระดาษ เครื่องเขียน แบบเรียน แบบพิมพ์ เครื่องพิมพ์ อุปกรณ์การพิมพ์ เครื่องมือสื่อสาร คอมพิวเตอร์, การค้าทอง นาก เงิน เพชร พลอย และ อัญมณีอื่น, เม็ดพลาสติก พลาสติก ยางเทียม สิ่งทำเทียมโดยกรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์, การสั่งเข้าและส่งออกสินค้าเหล่านี้ และ การยื่นประมูลเพื่อขายสินค้าเหล่านี้ให้กับหน่วยงานและองค์การราชการและ เอกชนทั้งภายในและภายนอกประเทศ
เห็นไหมครับ ครอบจักรวาล จริงๆ
แต่หากท่านยังไม่พอใจทั้ง 22 รายการมาตรฐานเหล่านี้ ท่านก็จะสามารถเขียนวัตถุประสงค์เพิ่มได้อีกไม่จำกัดข้อ เพียงแต่ต้องระบุรายละเอียดไว้ให้ชัดเจน
เมื่อป้อนข้อมูลหลัก ทั้ง 3 ส่วนที่กล่าวมาแล้ว เข้าไปในหน้าจอของ การยื่นขอจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิ ครบถ้วนแล้ว ท่านก็สามารถ “คลิก” ส่งไปให้นายทะเบียนทำการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล
หากต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อมูลรายการใด นายทะเบียนก็จะแจ้งให้ท่านทราบผ่านทาง รายการตรวจสอบคำขอ
ซึ่งท่านก็ยังคงต้องคอยเข้าไปดูที่เวบไซต์เป็นระยะๆ เพื่อให้รู้ว่า นายทะเบียน มีคำตอบอะไรมาให้หรือยัง
หากจะพัฒนาเป็นการส่งข้อมูลทางอีเมล มายังผู้ประกอบการที่ยื่นขอได้ ผมก็คิดว่าจะเพิ่มความสะดวกให้ผู้ประกอบการได้มากขึ้น
เพราะไม่ต้องคอยใจจดใจจ่อ เพื่อเปิดดูเวบไซต์ของ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อดูว่า รายการที่ยื่นขอได้รับอนุมัติจากนายทะเบียนหรือยัง
เป็นประจำทุกวัน วันละ 3 เวลา หลังอาหาร
ที่มา: http://www.bangkokbizweek.com/20050901/smallbiz/index.php?news=column_18470273.html


SME CLINIC : จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทด้วยระบบอินเทอร์เน็ต (3)
โดย เรวัต ตันตยานนท์


ท่านผู้อ่านที่ติดตามอ่านคอลัมน์นี้มาใน 3-4 สัปดาห์ที่ผ่านมาโดยตลอด ก็คงจะพอได้ข้อมูลคร่าวๆ แล้วว่า การขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นบริการที่จัดไว้ให้โดย กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ นั้น จะมีขั้นตอนต่างๆ โดยเริ่มต้นจากการ ขอจองชื่อนิติบุคคล ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต
หลังจากที่ได้รับการอนุมัติจองชื่อแล้ว ขั้นตอนต่อไปผู้ที่ต้องการจัดตั้งบริษัทใหม่จะต้องทำการจดทะเบียนหนังสือ บริคณห์สนธิ ซึ่งสามารถทำผ่านระบบอินเทอร์เน็ตได้เช่นกัน
ท่านที่พลาดเนื้อหาในรายละเอียดขั้นตอนเหล่านี้ อาจลองติดต่อกับทีมงานของ BizWeek เพื่อขอต้นฉบับในตอนแรกๆ ผ่าน อีเมล bizweek@nationgroup.com ดูก็ได้ครับ
สัปดาห์นี้เราก็มาติดตามขั้นตอนที่ต่อจากการที่ได้รับอนุมัติข้อมูลราย ละเอียดของหนังสือบริคณห์สนธิจากนายทะเบียนผู้ตรวจสอบผ่านระบบอินเทอร์เน็ต เรียบร้อยแล้ว
หลังจากที่ได้รับแจ้งจากนายทะเบียน ว่าข้อมูลต่างๆ ที่ใช้ประกอบการยื่นขอจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิถูกต้องการกฎเกณฑ์ที่ได้ กำหนดไว้แล้ว ผู้ยื่นขอ ก็จะสามารถสั่งพิมพ์เอกสารหรือแบบฟอร์มต่างๆ ที่กรอกข้อมูลไว้แล้วออกมา เอกสารแบบฟอร์มต่างๆ เหล่านี้ ได้แก่
แบบแจ้งผลการจองชื่อนิติบุคคล
แบบ อบจ. 1 (คำขอจดทะเบียนบริษัทจำกัด) แจ้งขอจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิ
แบบ อบจ. 2 (หนังสือบริคณห์สนธิ) ซึ่งจะระบุ ทุนจดทะเบียน จำนวนหุ้น มูลค่าหุ้น ของบริษัท รวมถึงรายชื่อของผู้เริ่มก่อการ พร้อมลายมือชื่อของผู้ร่วมก่อการทุกคน พร้อม คำรับรองลายมือชื่อของพยาน 2 คน แบบ อบจ. 2 จะต้องติดอากรแสตมป์จำนวน 200 บาท
แบบ ว. (รายละเอียดวัตถุที่ประสงค์) ซึ่งจะระบุวัตถุประสงค์ที่แจ้งไว้เกี่ยวกับการทำธุรกิจของบริษัท โดยกรรมการผู้ขอจดทะเบียนจะต้องลงชื่อกำกับทุกหน้า
ท่านที่สนใจต้องการเห็นตัวอย่างแบบฟอร์มต่างๆ อาจเข้าไปดาวน์โหลดมาได้จากเวบไซต์ของ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ที่ www.dbd.go.th
แต่การจดทะเบียนผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ก็ยังต้องไปอาศัยระบบเอกสารแบบเดิมเนื่องจากการต้องยึดถือการลงลายมือชื่อใน รูปแบบดั้งเดิม เอกสารแบบฟอร์มที่สั่งพิมพ์ออกมาจากระบบอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะแบบ อบจ. 1 จะต้องได้รับการลงนามโดยกรรมการผู้ขอจดทะเบียน ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ว่า จะต้องไปลงลายมือชื่อต่อหน้านายทะเบียน หรือ ลงลายมือชื่อต่อหน้าพนักงานฝ่ายปกครอง ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ในท้องถิ่นที่ผู้ลงลายมือชื่อมีภูมิลำเนาอยู่ หรือลงลายมือชื่อต่อหน้าสมาชิกสามัญ หรือ สมาชิกวิสามัญแห่งเนติบัณฑิตยสภา ซึ่งจะต้องมีสำเนาเอกสารประจำตัวของผู้รับรองแนบมากับแบบฟอร์มอื่นๆ ด้วย
หากไม่ต้องการที่จะเดินทางไปยื่นเอกสารโดยตรงที่สำนักงานบริการจด ทะเบียนโดยตรง ผู้ขอยื่นอาจใช้วิธีการส่งเอกสารทั้งหมดไปทางไปรษณีย์ส่งตรงไปที่ ส่วนจดทะเบียนธุรกิจกลาง ของกรม ก็ได้
ปัญหาอีกประการหนึ่งก็คือ การชำระค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน
ในกรณีที่ส่งเอกสารจดทะเบียนทางไปรษณีย์ ผู้ยื่นขอก็จะสามารถชำระค่าธรรมเนียมต่างๆ ผ่านทางธนาคารต่างๆ ตามที่ กรมพัฒนาธุรกิจ ได้กำหนดไว้ เช่น ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และ ธนาคารเอเชีย เป็นต้น ใบเสร็จรับเงินอย่างเป็นทางการก็จะถูกส่งกลับมาให้ทางไปรษณีย์ เช่นกัน
อัตราค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิจะคำนวณตามจำนวนทุนจดทะเบียนของบริษัท
ทุกๆ 100,000 บาทของทุนจดทะเบียน จะต้องเสียค่าธรรมเนียม 50 บาท เศษของ 100,000 บาท คิดเป็น 100,000 บาท ทั้งนี้ค่าธรรมเนียมรวมกันจะต้องไม่ต่ำกว่า 500 บาทและไม่เกิน 25,000 บาท เช่น ทุนจดทะเบียน 200,000 บาท จะต้องเสียค่าธรรมเนียมที่ 500 บาท หรือ ทุนจดทะเบียน 10,000 ล้านบาท ก็จะเสียค่าธรรมเนียมเพียง 25,000 บาท เป็นต้น
แต่หากผู้ยื่นขอตัดสินใจจะไปยื่นเอกสารทั้งหมดด้วยตนเอง ก็จะสามารถไปลงลายมือต่อหน้านายทะเบียนได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องหา สมาชิกสามัญ หรือ วิสามัญของเนติบัณฑิตยสภา มารับรองลายมือชื่ออีก ทั้งการชำระเงินค่าธรรมเนียม ก็สามารถทำได้อย่างถูกต้องแน่นอนได้ที่สำนักงานบริการจดทะเบียนธุรกิจ ซึ่งก็คงต้องเตรียมเวลาไว้ 1 วันเต็มๆ สำหรับการเดินทางและการรอคิว ตามปกติของการติดต่องานราชการ
การจดทะเบียนด้วยระบบอินเทอร์เน็ต ก็ยังไม่สามารถทำได้ “เต็มใบ” ล้วนๆ ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากยังมีข้อจำกัดเรื่องการลงลายมือชื่อดังกล่าว เอกสารประกอบการจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิ ก็จะได้รับการตรวจสอบอีกครั้งหนึ่งจากนายทะเบียน แล้วให้หมายเลขกำกับหนังสือบริคณห์สนธิไว้ ภายหลังตรวจสอบเอกสารใบเสร็จรับเงินค่าธรรมเนียมเรียบร้อยแล้ว นายทะเบียนจะแนะนำให้ผู้ขอยื่น ถ่ายสำเนาเอกสารหนังสือบริคณห์สนธิและรายละเอียดวัตถุที่ประสงค์ไว้ เนื่องจากจะต้องใช้ยื่นประกอบในขั้นตอนของการจดทะเบียนบริษัทต่อไป
เมื่อมาถึงขั้นตอนนี้ ผู้ประสงค์จะจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทใหม่ ก็จะได้รับหมายเลขทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิ ซึ่งเป็นหมายเลขที่จะต้องใช้สำหรับป้อนเข้าไปในระบบการจดทะเบียนนิติบุคคล ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ในขั้นตอนของการจัดตั้งบริษัท
ซึ่งผมจะนำรายละเอียดมาเล่าให้ท่านฟังในสัปดาห์ต่อไป
ที่มา: http://www.bangkokbizweek.com/20050902/smallbiz/index.php?news=column_18544639.html


SMEs Clinic : รีวิว: จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทด้วยระบบอินเทอร์เน็ต (4)
โดย เรวัติ ตันตยานนท์


ผู้ประกอบการเริ่มต้นใหม่ หรือ เถ้าแก่ใหม่ ที่ต้องการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทด้วยตนเอง โดยไม่อยากเสียเงินค่าใช้จ่ายให้กับบริษัทหรือกิจการที่รับจ้างจดทะเบียน บริษัทให้ ในยุคสมัยของอินเทอร์เน็ตนี้ ท่านสามารถที่จะทำการจดทะเบียน จัดตั้งบริษัทผ่านระบบอินเทอร์เน็ตได้ด้วยตนเองแล้วครับ
ขั้นตอนต่างๆ สามารถทำผ่านเวบไซต์ www.dbd.go.th ของ กรมพัฒนาธุรกิจ กระทรวงพาณิชย์
ซึ่งผมเองได้ทดลองเข้าไปจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทผ่านระบบอินเทอร์เน็ตนี้ด้วยตนเองมาแล้ว
และถือโอกาสนำเกร็ดและขั้นตอนวิธีการต่างๆ มาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบผ่านคอลัมน์นี้มาเป็นตอนที่ 4 แล้ว
ขั้นตอนต่างๆ ที่ได้นำเสนอมาแล้ว ได้แก่ การขอจองชื่อนิติบุคคล หรือ ชื่อบริษัทของเรา ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต การจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิ เพื่อแสดงเจตจำนงในการที่จะจัดตั้งบริษัทขึ้นมา
สำหรับในสัปดาห์นี้ จะขออนุญาตเล่าต่อถึงขั้นตอนการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท หลังจากได้รับหมายเลขหนังสือบริคณห์สนธิจากนายทะเบียนมาแล้ว
ท่านผู้อ่านที่ต้องการจะอ่านข้อมูลในบทความตอนแรกๆ ลองเขียนอีเมลไปขอกับทีมงานของ Biz Week ได้ที่ bizweek@nationgroup.com ซึ่งเป็น อีเมล ที่ท่านผู้อ่านสามารถใช้ติดต่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคอลัมน์นี้ได้ด้วยครับ
การจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท เป็นขั้นตอนต่อไปจากการจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิ โดยการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท จำเป็นที่จะต้องอ้างอิงถึงหมายเลขของหนังสือบริคณห์สนธิ
โดยเฉพาะการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทผ่านระบบอินเทอร์เน็ต จะบังคับให้ผู้ขอจดทะเบียนจะต้องกรอกข้อมูลหมายเลขหนังสือบริคณห์สนธิก่อน เป็นอันดับแรก
มิเช่นนั้น จะผ่านเข้าไปทำรายการในขั้นตอนต่อไปไม่ได้
เงื่อนไขสำคัญที่จะต้องทำให้ครบก่อนการจัดตั้งบริษัท อันดับแรกก็คือ ผู้ริเริ่มก่อการจัดตั้งบริษัท จะต้องทำการจัดให้หุ้นตามจำนวนและมูลค่าที่ระบุไว้ในหนังสือบริคณห์สนธิ มีผู้เข้าชื่อจองซื้อหุ้นจนครบทั้งหมด
ซึ่งต้องระบุรายการของผู้จองซื้อหุ้น และจำนวนหุ้นที่จอง ลงในช่องรายการที่กำหนดให้บนหน้าจอ
เงื่อนไขข้อต่อไปก็คือ จะต้องมีการเรียก ประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อแจ้งในทราบถึงการจัดตั้งบริษัท โดย กรรมการผู้ริเริ่ม จะต้องออกหนังสือบอกกล่าวการประชุมล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน
ในระบบอินเทอร์เน็ต ก็ไม่ยุ่งยากอะไรมากครับ เพราะเนื้อความต่างๆ ทั้งที่จะปรากฏอยู่ในหนังสือบอกกล่าวนัดประชุม หรือ ในรายงานการประชุม จะเป็นข้อความมาตรฐานที่กำหนดไว้ในโปรแกรมแล้วทั้งสิ้น
เราเพียงกรอกข้อมูลในส่วนที่เกี่ยวข้องสำหรับบริษัทของเราเท่านั้น ระบบก็จะเรียบเรียงเอกสารต่างๆ ออกมาให้โดยอัตโนมัติ
และเชื่อได้ว่า จะต้องเป็นไปตามระเบียบที่กฎหมายกำหนดไว้ทั้งสิ้น โดยไม่ผิดพลาด
วาระในการประชุมจัดตั้งบริษัท ก็จะเป็นวาระมาตรฐานเช่นกัน ที่สำคัญได้แก่ การแต่งตั้งกรรมการบริษัท โดยที่กรรมการบริษัทจะต้องจัดการเรียกให้ผู้เริ่มก่อการและผู้จองหุ้นที่ได้ ระบุรายชื่อไว้ ชำระค่าหุ้นอย่างน้อยร้อยละ 25 ของมูลค่าหุ้น และมีหลักฐานยืนยันการชำระค่าหุ้น
ในระบบอินเทอร์เน็ต ก็จะมีแบบรายการที่ให้กรรมการผู้จัดการ หรือ กรรมการผู้มีอำนาจ ได้ลงนามรับรองยืนยันการชำระค่าหุ้นให้ด้วย
ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกให้มากกว่าการที่จะต้องยืนยันเป็นเอกสารของธนาคารหรือเอกสารอื่นๆ
นอกจากนี้ การประชุมจัดตั้งบริษัท ยังจะต้องมีวาระการเสนอพิจารณาตั้ง ข้อบังคับของบริษัท ซึ่งโปรแกรมในระบบอินเทอร์เน็ตก็จะมีรูปแบบมาตรฐานของข้อบังคับของบริษัท เป็นแนวทางให้ผู้ขอจัดตั้งบริษัทได้ใช้เป็นตัวอย่าง โดยสามารถเพิ่มรายการข้อบังคับพิเศษเพิ่มเติมเข้าไปได้ตามต้องการ
ข้อบังคับของบริษัท จะประกอบด้วยหมวดพื้นฐานต่างๆ เช่น บททั่วไป ชนิดของหุ้นและคุณสมบัติของผู้ถือหุ้น จำนวนและคุณสมบัติของกรรมการของบริษัท การประชุมผู้ถือหุ้น การจัดทำงบดุลของบริษัท และ การจัดการเงินปันผลและเงินสำรองของบริษัท
เงื่อนไขมาตรฐานในหมวดต่างๆ เหล่านี้ ก็จะกำหนดไว้ในโปรแกรมทั้งหมด เช่น จะต้องมีการจัดประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นทั่วไปภายใน 6 เดือนนับตั้งแต่วันที่ได้จัดตั้งบริษัท และจากนั้น จะต้องมีการประชุมสามัญ อย่างน้อย 1 ครั้งต่อปี ส่วนการประชุมผู้ถือหุ้นในวาระอื่นๆ นอกจากการประชุมสามัญประจำปี จะเรียกว่าเป็นการประชุมวิสามัญ
ในส่วนของงบดุลของบริษัท จะต้องกำหนดรอบปีบัญชีของบริษัทไว้ด้วย โดยทั่วไปก็จะนิยมใช้รอบบัญชีของบริษัทตามปีปฏิทิน คือ เริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม และสิ้นสุดที่ 31 ธันวาคม ของทุกปี บางบริษัท อาจใช้รอบปีบัญชีตามรอบงบประมาณของรัฐบาล คือ เริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคม และสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน ของทุกปีก็ได้ ไม่มีข้อกำหนดตายตัวแต่อย่างใด
นอกจากนี้ ยังต้องมีการมอบหมาย อำนาจหน้าที่ของกรรมการ ไว้ เช่น จะต้องมีกรรมการกี่คนที่สามารถลงลายมือชื่อซึ่งผูกพันบริษัทได้ หรือ ในการลงลายมือชื่อผูกพันบริษัท จะต้องประทับตราสำคัญของบริษัทด้วยหรือไม่
ประเด็นน่าสนใจอย่างหนึ่ง อยู่ที่การกำหนด ดวงตราสำคัญ ของบริษัท เงื่อนไขข้อกำหนดลักษณะดวงตราสำคัญของบริษัท ตามกฎหมาย ระบุให้ต้องมีลักษณะดังนี้
1. ต้องไม่มีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งที่เหมือนหรือคล้ายคลึงกับ เครื่องหมายตราจักรีบรมราชวงศ์, พระบรมราชาภิไธย พระปรมาภิไธยย่อของพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ ทุกรัชกาล, พระบรมสัญลักษณ์ พระราชสัญลักษณ์ ของพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงค์ ทุกรัชกาล, พระมหามงกุฎ ฉัตรต่างๆ ตราแผ่นดิน ตราราชการ พระราชลัญจกร ตราครุฑพ่าห์ ธงชาติ เครื่องหมายราชการ เครื่องหมายกาชาด
2. กรณีที่ตรามีชื่อของบริษัท ชื่อนั้นจะต้องอ่านได้ชัดเจน และตรงกับชื่อที่ขอจดทะเบียนไว้ และต้องมีคำแสดงประเภทของนิติบุคคลด้วย เช่น บริษัท …(ชื่อบริษัท)… จำกัด หรือ บ. …(ชื่อบริษัท)... จก.
3. กรณีที่แสดงเป็นภาษาต่างประเทศที่ตรงกับชื่อที่ขอใช้ จะต้องมีคำแสดงประเภทของนิติบุคคลด้วย เช่น … (ชื่อบริษัทเป็นภาษาต่างประเทศ)… Company Limited หรือ Co.,Ltd.
หากดวงตราบริษัท ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดดังกล่าว นายทะเบียนจะไม่อนุมัติการจดทะเบียน ท่านจะต้องกลับมาแก้ไขดวงตราของบริษัทมาใหม่
ผมเองก็ตกม้าตายมารอบหนึ่งแล้วครับ โดยไม่ได้ตั้งใจ
เพราะตราบริษัท มีข้อความชื่อของบริษัทเป็นภาษาอังกฤษอยู่ด้วย แต่ไม่มีคำว่า Company Limited กำกับ
ต้องกลับมาทำตรายางไปใหม่อีกรอบหนึ่งครับ
ที่มา: http://www.bangkokbizweek.com/20050903/smallbiz/index.php?news=column_18606203.html


รีวิว: จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทด้วยระบบอินเทอร์เน็ต (6-7)
เรวัต ตันตยานนท์


เรื่องการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท เป็นเรื่องที่ต้องทำตามวิธีการที่กฎหมายได้กำหนดไว้ กฎหมายในที่นี้ก็คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ดังนั้น เอกสารประกอบต่างๆ จึงต้องมีรูปแบบและเนื้อหามาตรฐานเพื่อให้เป็นไปอย่างครบถ้วนและถูกต้องตามข้อกำหนด
แม้กระทั่งรายงานการประชุมจัดตั้งบริษัท ก็จะมีวาระบังคับที่ต้องให้เป็นไปตามกฎหมาย
สำหรับการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทผ่านระบบอินเตอร์เน็ต เมื่อกรอกข้อมูลต่างๆ ครบถ้วนแล้ว ระบบก็จะจัดพิมพ์รายงานการประชุมจัดตั้งบริษัทออกมาให้เพื่อนำไปเป็นเอกสาร ประกอบยื่นให้กับนายทะเบียน
หน้าตาของรายงานการประชุมจัดตั้งบริษัท ก็จะเป็นประมาณนี้ครับ
รายงานการประชุมจัดตั้งบริษัท
บริษัท ………………………………… จำกัด
ประชุมเมื่อวันที่ …………………….. เวลา ………. น. ณ บ้านเลขที่ …………………………………. มีผู้ถือหุ้นและผู้รับมอบฉันทะมาประชุม ……….. คน นับจำนวนหุ้นได้ …………….. หุ้น ครบเป็นองค์ประชุม โดย ………………….. เป็นประธานที่ประชุม และเริ่มประชุมตามระเบียบวาระ ดังต่อไปนี้
รับรองบัญชีรายชื่อ ฐานะ และสำนักของผู้เข้าชื่อซื้อหุ้น พร้อมทั้งจำนวนหุ้นซึ่งต่างคนได้ลงชื่อซื้อไว้
ประธานได้เสนอบัญชีรายชื่อ ฐานะ และสำนักของผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นของบริษัท และจำนวนหุ้นซึ่งต่างคนได้ลงชื่อซื้อไว้ให้ที่ประชุมพิจารณา
ที่ประชุมตรวจสอบแล้วเห็นว่าถูกต้อง จึงลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ถือเป็นบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทได้ต่อไป
พิจารณาตั้งข้อบังคับของบริษัท
ประธานได้เสนอให้ที่ประชุมพิจารณาข้อบังคับของบริษัท
ที่ประชุมได้พิจารณาแล้ว ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ใช้ข้อบังคับที่ประธานเสนอเป็นข้อบังคับของบริษัท (ในหัวข้อนี้ อาจใช้ข้อความว่า “ใช้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เป็นข้อบังคับของบริษัท ก็ได้)
พิจารณาให้สัตยาบันแก่บรรดากิจการที่ผู้เริ่มก่อการตั้งบริษัทได้กระทำ และค่าใช้จ่ายซึ่งจำเป็นต้องจ่ายในการตั้งบริษัท
ประธานแถลงว่า ในการเตรียมการเพื่อตั้งบริษัทนี้ไม่มีผู้เริ่มก่อการผู้ใดกระทำการอันเป็น การผูกพันบริษัท จึงไม่จำเป็นต้องให้สัตยาบันแต่ประการใด แต่มีค่าใช้จ่ายซึ่งจำเป็นต้องจ่ายในการตั้งบริษัทนี้ ซึ่งผู้เริ่มก่อการได้ทดรองเงินส่วนตัวจ่ายไป เป็นจำนวนเงิน ……………… บาท จึงขอให้ที่ประชุมพิจารณา
ที่ประชุมพิจารณาแล้ว ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้นำค่าใช้จ่ายดังกล่าวตามที่ประธานเสนอเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทได้
พิจารณาเรื่องหุ้น
ประธานได้เสนอให้ที่ประชุมพิจารณา กำหนดชนิดและจำนวนหุ้นของบริษัท รวมทั้งการเรียกชำระเงินค่าหุ้นในครั้งแรกด้วย
ที่ประชุมได้พิจารณาแล้ว จึงลงมติเป็นเอกฉันท์ กำหนดให้หุ้นของบริษัทมีชนิดเดียว เป็นหุ้นสามัญชนิดระบุชื่อที่ต้องใช้เงินจนเต็มมูลค่า และให้เรียกชำระค่าหุ้นในครั้งแรกนี้หุ้นละ …………. บาท รวมเป็นเงินที่เรียกให้ชำระค่าหุ้นในครั้งแรกนี้ทั้งหมด ………….. บาท
พิจารณาเลือกตั้งกรรมการชุดแรกของบริษัท และกำหนดอำนาจกรรมการ
ประธานได้เสนอให้ที่ประชุมพิจารณาเลือกตั้งกรรมการชุดแรกของบริษัท เพื่อบริหารกิจการของบริษัท และพิจารณากำหนดอำนาจกรรมการที่จะกระทำการแทนบริษัทด้วย
ที่ประชุมได้พิจารณาแล้ว จึงลงมติเป็นเอกฉันท์กำหนดให้คณะกรรมการของบริษัทมีจำนวน …….. คน โดยเลือกตั้งผู้ที่มีรายชื่อต่อไปนี้เป็นกรรมการชุดแรกของบริษัท คือ
…………………………..
…………………………..
…………………………..
…………………………..
…………………………..
…………………………..
และได้ลงมติเป็นเอกฉันท์กำหนดอำนาจกรรมการของบริษัทเป็นดังนี้ คือ “จำนวนหรือชื่อกรรมการซึ่งจะลงชื่อเป็นสำคัญผูกพันบริษัทได้ คือ ………………………………………………………… .”
พิจารณาเลือกตั้งผู้สอบบัญชีและกำหนดสินจ้าง
ประธานได้เสนอให้ที่ประชุมพิจารณาเลือกตั้งผู้สอบบัญชีของบริษัท รวมทั้งกำหนดค่าสินจ้างด้วย
ที่ประชุมได้พิจารณาแล้ว จึงลงมติเป็นเอกฉันท์เลือกตั้ง …………………… ผู้สอบบัญชีอนุญาตเลขที่ ……. เป็นผู้สอบบัญชีของบริษัท โดยกำหนดค่าสินจ้างให้ปีละ …………. บาท
เรื่องอื่นๆ (ถ้ามี)
ไม่มีผู้ใดเสนอเรื่องใดเข้าพิจารณา
ปิดประชุมเวลา …………… น.
(ลงลายมือชื่อ) ……………………… ประธานที่ประชุม
(……………………………………. )
รับรองว่าถูกต้อง
………………………
( ………………… )
กรรมการ
ท่านผู้อ่านคงจะเห็นว่า เป็นรายงานการประชุมแบบมาตรฐานให้เติมคำในช่องว่างจริงๆ เพื่อไม่ให้เกิดการผิดพลาดจากเนื้อหาสำคัญที่กฎหมายได้กำหนดไว้
และคงไม่ต้องแปลกใจว่า บริษัทตั้งใหม่ต่างๆ จะมีรายงานการประชุมจัดตั้งบริษัทที่หน้าตาเหมือนกันเป๊ะ
เพราะต่างก็ออกมาจากแบบฟอร์มเดียวกันนั่นเอง
ข้อบังคับของบริษัทจดทะเบียนใหม่ก็มีขายครับ
หากท่านได้ติดตามข้อเขียนของผมในเรื่องการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทใหม่ ด้วยระบบอินเทอร์เน็ตในคอลัมน์นี้มาเป็นประจำ ก็คงพอที่จะมองเห็นว่า การจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทใหม่นั้น เป็นเรื่องที่เจ้าของหรือผู้ประกอบการใหม่จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎ ระเบียบที่กำหนดไว้ในกฎหมาย
ซึ่งในกรณีนี้ก็คือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
และความจำเป็นที่ต้องปฏิบัติขั้นตอนต่างๆ ให้เป็นไปตามกฎหมาย ทำให้เอกสารประกอบหลายต่อหลายชุด ที่จำเป็นต้องมีเนื้อหาที่เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่าการดำเนินการจัดตั้ง นิติบุคคลเพื่อทำธุรกิจได้เป็นไปอย่างถูกต้อง
ดังนั้น แนวปฏิบัติก็คือ ทางราชการได้กำหนดเนื้อหาเอกสารต่างๆ ไว้ให้มีข้อความมาตรฐานไว้เพื่อเป็นต้นแบบ ทำให้การปรับเปลี่ยนระบบจากการทำงานของเจ้าหน้าที่ มาเป็นระบบที่เจ้าของธุรกิจใหม่สามารถดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ ด้วยตัวเองโดยใช้ระบบอินเทอร์เน็ตมาเป็นสะพานเชื่อมมีความเป็นไปได้อย่างดี
ผมได้เล่าขั้นตอนต่างๆ ที่เจ้าของธุรกิจใหม่สามารถติดต่อดำเนินการกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าผ่านระบบ อินเทอร์เน็ตด้วยตัวเอง โดยเริ่มตั้งแต่ การตรวจสอบและจดจองชื่อนิติบุคคล การจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิ ตลอดไปจนถึงการยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท มาตามลำดับแล้ว
ในสัปดาห์นี้ ผมขอใช้เวลาเล่าเรื่องเกี่ยวกับ ระเบียบข้อบังคับของบริษัท ซึ่งบริษัทจัดตั้งใหม่จะต้องเตรียมเป็นเอกสารเพื่อยื่นประกอบในการจดทะเบียน จัดตั้งบริษัทใหม่ด้วย
ข้อบังคับมาตรฐานที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้จัดทำไว้นั้น ประกอบด้วยหมวดต่างๆ รวม 6 หมวด ได้แก่
หมวด 1 เป็น บททั่วไป
หมวด 2 กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับ หุ้นและผู้ถือหุ้น
หมวด 3 ว่าด้วยเรื่องของ กรรมการ ของบริษัท
หมวด 4 เป็นเรื่องของ การประชุมผู้ถือหุ้น
หมวด 5 เป็นเรื่องของ งบดุล ของบริษัท และ
หมวด 6 เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่อง เงินปันผลและเงินสำรอง
ในแต่ละหมวด จะมีข้อกำหนดที่น่าสนใจ ที่ผู้ที่ต้องการเตรียมจัดตั้งบริษัทใหม่ของตัวเอง ควรจะต้องรับรู้ไว้ก่อนการกระโดดลงมาเป็นเจ้าของธุรกิจอย่างเต็มตัว หากต้องการสร้างธุรกิจของตนให้มีพื้นฐานที่มั่นคงด้วยการเรียนรู้และรับทราบ กฎหมาย กฎเกณฑ์ และ กฎระเบียบต่างๆ เพื่อจะไม่ต้องมีปัญหาติดตามมาภายหลัง
โดยเฉพาะกรณีที่บริษัทกำลังเจริญเติบโตก้าวหน้าไปได้อย่างดี
จะได้ไม่ต้องมีอุปสรรคที่คาดไม่ถึงมาคอยฉุดรั้งหรือทำให้โอกาสของการขยายตัวต้องเสียจังหวะหรือสะดุดไปโดยไม่จำเป็น
ข้อบังคับมาตรฐาน ของบริษัท จะเริ่มต้นด้วยข้อความ ดังนี้
ข้อบังคับ
ของ
บริษัท …………… จำกัด
ใน หมวด 1 บททั่วไป จะมีข้อบังคับไว้ 2 ข้อ
ข้อ 1 ข้อบังคับนี้ ถ้ามิได้ตราเป็นอย่างอื่น ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในส่วนที่เกี่ยวกับบริษัทจำกัดมาใช้บังคับ
ข้อบังคับข้อนี้เขียนครอบจักรวาลไว้ เพื่อไม่ให้เกิดการสร้างข้อบังคับที่ต้องตีความในกรณีอาจก้ำกึ่งหรือขัดแย้งกับกฎหมายหลัก
ข้อ 2 ข้อบังคับนี้ ถ้ามีที่ซึ่งสมควรแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงก็ให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นจัดการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงตามกฎหมายต่อไป
ข้อที่ 2 กำหนดว่า การแก้ไขข้อบังคับจะทำได้ก็ต่อเมื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทส่วนใหญ่ให้ความเห็น ชอบ หากมีการแก้ไขข้อบังคับ บริษัทก็จะต้องยื่นแก้ไขข้อบังคับกับนายทะเบียนอย่างเป็นทางการต่อไป
หมวดที่ 2 หุ้นและผู้ถือหุ้น มีข้อบังคับไว้อย่างน้อย 3 ข้อ
ข้อที่ 3 หุ้นของบริษัททั้งหมดเป็น … ( เช่น …หุ้นสามัญชนิดระบุชื่อที่ต้องใช้เงินจนเต็มมูลค่าหุ้น… ) และ ใบหุ้นของบริษัท ต้องมีกรรมการอย่างน้อย ….. คน ลงลายมือชื่อและประทับตราของบริษัท
ข้อนี้เป็นการระบุชนิดหุ้นของบริษัท ซึ่งอาจเป็นหุ้นสามัญ อย่างเดียวหรืออาจมีการถือหุ้นแบบอื่น เช่น หุ้นบุริมสิทธิ ด้วยก็ได้
ข้อที่ 4 การโอนหุ้นจะต้องทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้โอนและผู้รับโอน โดยมีพยานสองคนลงชื่อรับรองและจะนำมาใช้แก่บริษัทหรือบุคคลภายนอกได้ ต่อเมื่อบริษัทจดแจ้งการโอนนั้นลงในทะเบียนผู้ถือหุ้นแล้ว
ข้อบังคับข้อนี้ เป็นการย้ำว่าการทำทะเบียนผู้ถือหุ้น เป็นหน้าที่ที่บริษัทจะต้องปฏิบัติ เนื่องจากกฎหมายได้กำหนดไว้ ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงจำนวนหุ้นหรือตัวผู้ถือหุ้น จะต้องทำการแก้ไขทะเบียนหุ้นให้ถูกต้องสมบูรณ์อยู่เสมอ
ข้อที่ 5 บริษัทจะถือหุ้นหรือรับจำนำหุ้นของบริษัทเองไม่ได้
ข้อนี้เป็นเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้ให้ปฏิบัติตาม
หมวดที่ 3 กรรมการ มีข้อบังคับพื้นฐานรวม 4 ข้อ
ข้อที่ 6 คณะกรรมการของบริษัทพึงมีจำนวนเท่าใดให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นผู้กำหนด
กรรมการของบริษัทจะถูกกำหนดตัวและแต่งตั้งโดยผู้ถือหุ้น กรรมการบริษัทอาจมีได้ตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ตามลักษณะและขอบข่ายของธุรกิจ ไม่มีจำนวนที่กำหนดไว้ตายตัว
ส่วนใหญ่แล้วผู้ถือหุ้นแต่ละรายมักจะส่งคนของตนเองเข้ามานั่งเป็นกรรมการเพื่อควบคุมดูแลการบริหารกิจการของบริษัทให้เป็นไปตามนโยบาย
ข้อที่ 7 ถ้าตำแหน่งกรรมการว่างลงเพราะเหตุอื่นนอกจากถึงคราวออกตามกำหนดวาระ คณะกรรมการจะเลือกผู้อื่นขึ้นแทนก็ได้ แต่ให้มีเวลาอยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่ากับกำหนดเวลาที่กรรมการผู้ออกไปนั้น ชอบจะอยู่ได้
ข้อนี้เป็นการกำหนดวาระของกรรมการ และ การตั้งกรรมการแทนกรณีมีกรรมการลาออกหรือเสียชีวิตก่อนหมดวาระ
ข้อที่ 8 การประชุมกรรมการต้องมีคณะกรรมการเข้าประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง จึงจะเป็นองค์ประชุมปรึกษากิจการได้
ข้อที่ 9 คณะกรรมการเป็นผู้รับผิดชอบการจัดงานทั้งปวงของบริษัท และกรรมการเลือกตั้งในระหว่างกันเองขึ้นเป็นประธานหนึ่งคน
ทั้ง 2 ข้อ กำหนดระเบียบของการประชุมกรรมการให้เป็นไปตามระเบียบการบริหารงานที่ถูกต้องและโปร่งใส
คงจะต้องยกยอด ข้อบังคับ มาตรฐานไว้ไปคุยต่อในคราวหน้าเสียแล้ว ท่านที่สนใจจะจัดตั้งบริษัทใหม่ ก็คงต้องคอยติดตามกันต่อไปให้ได้นะครับ
หมวด 4 การประชุมผู้ถือหุ้น
ข้อ 10 ให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นทั่วไปเป็นประชุมใหญ่ภายในหกเดือนนับแต่วันที่ได้ จดทะเบียนบริษัท และต่อนั้นไปให้มีการประชุมครั้งที่หนึ่งทุกปี การประชุมเช่นนี้เรียกว่า การประชุมสามัญ และการประชุมคราวอื่นบรรดาที่มีนอกจากนี้เรียกว่า การประชุมวิสามัญ
กฏหมายต้องการให้บริษัทมีการประชุมผู้ถือหุ้นอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อเป็นการบังคับให้หุ้นส่วนของบริษัททั้งหมดได้มีการพบปะและติดตามความ ก้าวหน้าหรือทิศทางของธุรกิจอย่างสม่ำเสมอ
ข้อ 11 คณะกรรมการจะเรียกประชุมวิสามัญเมื่อใดก็สุดแล้วแต่จะเห็นสมควร หรือเมื่อผู้ถือหุ้นจำนวนรวมกันไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าแห่งจำนวนหุ้นของ บริษัทเข้าชื่อกันทำหนังสือในฉบับเดียวกันร้องขอให้เรียกประชุมวิสามัญก็ได้
หากมีเหตุการณ์รีบด่วนหรือเหตุการณ์ผิกปรกติ ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่จะสามารถเรียกประชุมเพื่อซักถามฝ่ายบริหารเกี่ยวกับการ ดำเนินธุรกิจได้ โดยกำหนดให้เรียกประชุมแบบวิสามัญ
ข้อ 12 คำบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ทุกคราวให้ลงพิมพ์โฆษณาอย่างน้อยสองคราวในหนังสือ พิมพ์แห่งท้องที่ฉบับหนึ่ง หรือส่งหนังสือนัดประชุมไปยังผู้ถือหุ้นทุกคนก่อนวันประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ด วัน
เพื่อให้การเรียกประชุมเป็นไปอย่างทั่วถึงและให้รับทราบระหว่างผู้ถือ หุ้นทั้งหมด กฏหมายกำหนดให้บริษัทต้องใช้วิธีการเช่นการลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ ซึ่งจะเห็นได้ว่า บริษัทมหาชนต่างๆ ที่มีจำนวนผู้ถือหุ้นมากมักจะต้องใช้วิธีนี้ ส่วนในบริษัททั่วๆ ไป การเรียกประชุมมักทำด้วยการส่งหนังสือนัดประชุม ซึ่งต้องกำหนดเวลาไม่น้อยกว่า 7 วัน เพื่อให้ผู้ถือหุ้นได้มีเวลาเตรียมตัวอย่างเพียงพอ
ข้อ 13 ผู้ถือหุ้นคนใดไม่สามารถเข้าประชุมด้วยตนเองได้ อาจรับมอบฉันทะเป็นลายลักษณ์อักษรและกำหนดให้ผู้เข้าประชุมแทนสามารถใช้ สิทธิ์ของผู้ถือหุ้นได้เสมือนผู้ถือหุ้นได้เข้าประชุมเอง
ข้อ 14 ในการประชุมผู้ถือหุ้น ให้ประธานกรรมการนั่งเป็นประธานที่ประชุม ถ้าไม่มีตัวประธานกรรมการหรือประธานกรรมการมิได้มาเข้าประชุมก็ให้ที่ประชุม เลือกตั้งผู้ถือหุ้นคนหนึ่งซึ่งได้เข้าร่วมประชุมขึ้นเป็นประธาน
ข้อนี้เป็นการกำหนดวิธีการเลือกประธานในที่ประชุม
ข้อ 15 ในการประชุมใหญ่ต้องมีผู้ถือหุ้นมาเข้าร่วมประชุมรวมกันแทนหุ้นได้ไม่น้อย กว่าหนึ่งในสี่แห่งทุน จึงจะเป็นองค์ประชุม การออกเสียงลงมติให้ถือเอามติเสียงข้างมาก ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมเป็นผู้ชี้ขาดเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง เสียง
การออกเสียงในที่ประชุม ผู้ถือหุ้นจะใช้จำนวนหุ้นแทนคะแนนเสียง แต่กฏหมายกำหนดให้ประธานในที่ประชุมสามารถชี้ขาดได้ในกรณีที่คะแนนเสียงเท่า กัน
ในหมวดต่อไป คือ หมวดที่ 5 จะเป็นหมวดที่เกี่ยวกับ งบดุล ซึ่งจะเริ่มต้นด้วย
ข้อ 16 ให้กรรมการจัดทำงบดุลแสดงรายการจำนวนทรัพย์สินและหนี้สินของบริษัทกับทั้ง บัญชีกำไรขาดทุนทุกรอบขวบปีทางบัญชีเงินของบริษัท โดยเริ่มตั้งแต่วันที่............และสิ้นสุดในวันที่.............ของทุกปี
การกำหนดงวดปีบัญชีจะต้องกำหนดไว้ในข้อบังคับอย่างชัดเจน ว่าจะเริ่มเมื่อไรและสิ้นสุดเมื่อไร ส่วนใหญ่แล้ว บริษัทต่างๆ มักจะเลือกรอบระยะบัญชีให้ตรงกับรอบปีปฏิทิน คือ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม และสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม แต่ก็ไม่มีข้อห้ามหากจะเลือกช่วงระยะเวลาอื่นๆ
บางบริษัท ก็จะใช้รอบระยะเวลาบัญชี ตรงกับการจัดงบประมาณแผ่นดิน คือ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม และสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน เป็นต้น
ข้อ 17 งบดุลของบริษัทต้องจัดให้มีผู้สอบบัญชีอย่างน้อยหนึ่งคน เพื่อตรวจสอบแล้วนำเสนอเพื่อขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นภายในสี่เดือน นับแต่วันที่ลงในงบดุลนั้น
ผู้ถือหุ้น มีหน้าที่ต้องอนุมัติเพื่อรับรองงบดุลที่ผู้ตรวจสอบบัญชีได้ตรวจสอบแล้วซึ่ง จะทำให้ผู้ถือหุ้นต้องรับผิดชอบในตัวเลขทางบัญชีของบริษัทไปในตัวด้วย
หมวด 6 เงินปันผลและเงินสำรอง
ข้อ 18 การจ่ายเงินปันผลทุกคราว บริษัทต้องจัดสรรเงินไว้เป็นทุนสำรองอย่างน้อยหนึ่งในยี่สิบของเงินกำไร สุทธิ ซึ่งบริษัทนำมาหาได้จากกิจการของบริษัท จนกว่าทุนสำรองนั้นจะมีจำนวนถึงหนึ่งในสิบของจำนวนทุนของบริษัท หรือมากกว่านั้น
ข้อกำหนดข้อนี้เป็นการบังคับให้บริษัทต้องจัดทุนสำรองไว้ส่วนหนึ่งเพื่อ การดำเนินการของบริษัทจะนำผลประกอบการที่ได้ มาจ่ายเป็นปันผลให้กับผู้ถือหุ้นหมดไม่ได้
ตอนท้ายของ ข้อบังคับจะต้องระบุข้อความที่ข้อบังคับจะนำมาบังคับใช้ได้
ข้อบังคับนี้ได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมตั้งบริษัทเมื่อวันที่............................................
และต้องมีการลงลายมือชื่อของกรรมการบริษัทกำกับไว้ทุกหน้าจึงจะนำไปขอยื่นจดทะเบียนข้อบังคับบริษัทกับนายทะเบียนได้

เรวัต ตันตยานนท์ เชี่ยวชาญด้านธุรกิจเอสเอ็มอี จบปริญญาโทสำหรับผู้บริหาร รุ่นที่13 ของคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ที่มา:
http://www.bangkokbizweek.com